แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ฟ้องแย้งเป็นคำฟ้อง จำเลยจะต้องบรรยายฟ้องให้เห็นว่าโจทก์ได้โต้แย้งสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมายของจำเลยที่ 1 อย่างไร ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 ทั้งคำฟ้องจะต้องแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาเป็นประเด็นข้อพิพาทขึ้นมาใหม่ และคำขอคำบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่าหากจำเลยที่ 1 ไม่เสนอข้อหาโดยคำฟ้องแย้งแล้ว จำเลยที่ 1 จะไม่ได้รับความคุ้มครองให้เป็นไปตามสิทธิตามมาตรา 172 วรรคสอง และต้องเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคำฟ้องเดิมพอที่จะรวมการพิจารณาและชี้ขาดตัดสินเข้าด้วยกันได้ตามมาตรา 177 วรรคสาม และมาตรา 179 วรรคสุดท้าย
โจทก์ฟ้องบังคับให้จำเลยที่ 1 กับพวกรับผิดตามสัญญาบัญชีเดินสะพัดและสัญญาตั๋วเงิน แต่ตามคำให้การของจำเลยที่ 1 ที่อ้างว่าเป็นฟ้องแย้งมีข้อความแต่เพียงว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้ผิดนัดผิดสัญญาเพราะจำเลยที่ 1 ได้ชำระเงินต้นและดอกเบี้ยให้แก่โจทก์แล้ว ส่วนการขายลดเช็ค จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ไม่เคยได้รับเงินตามเช็คที่โจทก์นำมาฟ้อง โจทก์หลอกลวงให้จำเลยที่ 1 โอนส่งมอบเช็คให้แก่โจทก์ยึดถือเป็นประกันในการปฏิบัติตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีเท่านั้น ซึ่งเป็นเพียงคำให้การปฏิเสธความรับผิดเท่านั้น หากเป็นจริงตามที่จำเลยที่ 1 อ้าง โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิฟ้องบังคับแก่จำเลยที่ 1 อยู่แล้ว จำเลยที่ 1 มิได้เสนอข้อกล่าวหาเป็นประเด็นขึ้นมาใหม่ คำให้การดังกล่าวจึงไม่ต้องด้วยลักษณะฟ้องแย้ง
ย่อยาว
คดีนี้สืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งเจ็ดชำระหนี้ตามสัญญาบัญชีเดินสะพัด ตั๋วเงิน ค้ำประกันและจำนอง จำนวน 12,118,604.98 บาท จำเลยที่ 1 ยื่นคำให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยที่ 1 ได้นำเงินเข้าหักทอนบัญชีกับโจทก์มาโดยตลอดแต่โจทก์ไม่หักทอนบัญชีให้ จึงขอให้ศาลพิพากษาบังคับให้โจทก์หักทอนบัญชีให้จำเลยที่ 1 ด้วย ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในส่วนที่เกี่ยวกับฟ้องแย้งว่าไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม และสามารถวินิจฉัยได้ตามฟ้องโจทก์อยู่แล้ว จึงไม่รับฟ้องแย้ง คืนค่าขึ้นศาลให้จำเลยที่ 1
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ว่า ที่ศาลชั้นต้นไม่รับคำฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1 นั้นชอบหรือไม่ เห็นว่า ฟ้องแย้งเป็นคำฟ้อง จำเลยที่ 1 จะต้องบรรยายฟ้องให้เห็นว่าโจทก์ได้โต้แย้งสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมายของจำเลยที่ 1 อย่างไร ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 ทั้งคำฟ้องจะต้องแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาเป็นประเด็นข้อพิพาทขึ้นมาใหม่ และคำขอคำบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่าหากจำเลยที่ 1 ไม่เสนอข้อหาโดยคำฟ้องแย้งแล้ว จำเลยที่ 1 จะไม่ได้รับความคุ้มครองให้เป็นไปตามสิทธิ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง และต้องเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคำฟ้องเดิมพอที่จะรวมการพิจารณาและชี้ขาดตัดสินเข้าด้วยกันได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสาม และมาตรา 179 วรรคสุดท้าย คดีนี้โจทก์ฟ้องบังคับให้จำเลยที่ 1 กับพวกรับผิดตามสัญญาบัญชีเดินสะพัดและสัญญาตั๋วเงิน ตามคำให้การข้อ 2 ของจำเลยที่ 1 ที่อ้างว่าเป็นฟ้องแย้งนั้น มีข้อความแต่เพียงว่าจำเลยที่ 1 ไม่ได้ผิดนัดผิดสัญญาที่โจทก์กล่าวมาในฟ้องเป็นเท็จเพราะจำเลยที่ 1 ได้ชำระเงินต้นและดอกเบี้ยให้แก่โจทก์แล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องเงินจากจำเลยที่ 1 ได้อีก ส่วนการขายลดเช็ค จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ไม่เคยได้รับเงินตามเช็คทั้ง 4 ฉบับ ที่โจทก์นำมาฟ้อง โจทก์หลอกลวงให้จำเลยที่ 1 โอนส่งมอบเช็คให้แก่โจทก์ยึดถือเป็นประกันในการปฏิบัติตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีเท่านั้น จำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิดสรุปแล้วเป็นแต่เพียงคำให้การปฏิเสธความรับผิดเท่านั้น หากเป็นจริงตามที่จำเลยที่ 1 อ้าง โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิฟ้องบังคับแก่จำเลยที่ 1 อยู่แล้ว มิได้เสนอข้อกล่าวหาเป็นประเด็นขึ้นมาใหม่ คำให้การดังกล่าวจึงไม่ต้องด้วยลักษณะฟ้องแย้งตามหลักกฎหมายดังกล่าวมาแล้วข้างต้น
พิพากษายืน