แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คำวินิจฉัยของอธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางแยกเป็น 2 ประการคือนิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์จำเลยเป็นสัญญาจ้างแรงงานหรือไม่และเป็นคดีเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงานหรือตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างหรือไม่ ปัญหาข้อแรก อธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางมีคำวินิจฉัยว่า นิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์จำเลยเป็นสัญญาจ้างแรงงาน โดยพิเคราะห์จากคำฟ้อง คำให้การ ประกอบคำเบิกความของพยานโจทก์จำเลยและพยานเอกสารและคำสั่งของศาลแรงงานกลาง คำวินิจฉัยดังกล่าวจึงเป็นเรื่องที่อธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางได้ฟังข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานที่โจทก์จำเลยได้นำสืบไว้แล้ว การที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่านิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์จำเลยเป็นสัญญาจ้างแรงงานตามคำวินิจฉัยของอธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางไม่ใช่สัญญาตัวแทน ถือได้ว่าศาลแรงงานกลางได้วินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทที่ว่านิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์จำเลยเป็นสัญญาจ้างแรงงานหรือไม่แล้ว.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาบังคับให้จำเลยจ่ายค่าจ้างที่ค้างจ่ายจำนวน 9,400 บาท และคืนหนังสือสัญญาค้ำประกันการทำงานแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า สัญญาระหว่างโจทก์จำเลยไม่ใช่สัญญาจ้างแรงงานโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องคดีต่อศาลแรงงานกลาง จำเลยไม่เคยค้างค่าจ้างโจทก์ โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกหนังสือสัญญาค้ำประกันคืน
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทที่ว่า สัญญาระหว่างโจทก์จำเลยจะเป็นสัญญาจ้างแรงงานหรือไม่ และศาลแรงงานกลางมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีหรือไม่ว่า อธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางมีคำวินิจฉัยแล้วว่า คดีอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 9,400 บาทให้โจทก์ คำขออื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่รับ จำเลยอุทธรณ์คำสั่งต่อศาลฎีกา ศาลฎีกามีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ของจำเลย
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในประเด็นที่ว่าสัญญาระหว่างโจทก์จำเลยเป็นสัญญาจ้างแรงงานหรือไม่ เห็นว่า ตามคำวินิจฉัยของอธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางที่ 34/2531 ลงวันที่ 22 สิงหาคม 253ซึ่งอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 9 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 ได้แยกคำวินิจฉัยไว้เป็น 2 ประการ คือ นิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์จำเลยเป็นสัญญาจ้างแรงงานหรือไม่ และเป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงานหรือตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 252มาตรา 8(1) หรือไม่ ตามปัญหาข้อแรกที่ว่า นิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์จำเลยเป็นสัญญาจ้างแรงงานหรือไม่นั้น อธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางได้พิเคราะห์คำฟ้อง คำให้การ ประกอบคำเบิกความของพยานโจทก์จำเลย และพยานเอกสารและคำสั่งของศาลแรงงานกลางตามรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่ 15 สิงหาคม 2531 แล้วรับฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลแรงงานกลางฟังเป็นยุติไว้มาประกอบการวินิจฉัยอธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางจึงมีคำวินิจฉัยว่า นิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์จำเลยเป็นสัญญาจ้างแรงงานคำวินิจฉัยดังกล่าวจึงเป็นเรื่องที่อธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางได้ฟังข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานที่โจทก์จำเลยได้นำสืบไว้แล้ว ดังนั้น ที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า นิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์จำเลยจะเป็นสัญญาจ้างแรงงานหรือไม่นั้น อธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางมีคำวินิจฉัยแล้วว่านิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์จำเลยเป็นสัญญาจ้างแรงงาน จึงถือได้ว่าเป็นการวินิจฉัยแล้วว่า สัญญาระหว่างโจทก์จำเลยเป็นสัญญาจ้างแรงงานตามคำวินิจฉัยของอธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลาง หาใช่สัญญาตัวแทนไมและมิใช่เป็นเรื่องที่ศาลแรงงานกลางยังมิได้วินิจฉัยในประเด็นดังกล่าวดังที่จำเลยอุทธรณ์ อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.