แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
คดีที่เหตุเกิดจากมูลกรณีละเมิดอันเดียวกัน ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 และที่ 5ร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ โดยฟังว่าลูกจ้างขับรถของจำเลยที่ 1 ที่ 2 กับลูกจ้างขับรถของจำเลยที่ 3 ที่ 4 ขับรถประมาท และจำเลยที่ 5 เป็นผู้รับประกันภัยค้ำจุนจำเลยที่ 1 ที่ 2 ดังนี้เป็นเรื่องเกี่ยวด้วยการชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ แม้จำเลยที่ 4 ผู้เดียวฎีกาจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 มิได้ฎีกาเมื่อศาลฎีกาฟังว่าเหตุเกิดจากความประมาทของคนขับรถโจทก์ฝ่ายเดียวศาลฎีกาย่อมเห็นสมควรพิพากษาให้มีผลถึงจำเลยที่ 1 ที่ 2ที่ 3 และที่ 4 ด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 245(1),247
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า น. ขับรถยนต์บรรทุกในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ว. ขับรถยนต์บรรทุกในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 3ที่ 4 ได้ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ชนรถยนต์บรรทุกโจทก์ที่ 1ซึ่งเอาประกันไว้กับโจทก์ที่ 2 เสียหาย คนขับรถโจทก์ที่ 1ถึงแก่ความตาย ผู้โดยสารมาด้วยได้รับบาดเจ็บสาหัส จำเลยที่ 1ถึงที่ 4 และจำเลยที่ 5 ซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยค้ำจุนจึงต้องร่วมกันรับผิด ขอให้พิพากษาให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 592,400 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยนับแต่วันทำละเมิดแก่โจทก์จำเลยที่ 1 ที่ 2 ให้การว่าเหตุเกิดจากความประมาทของคนขับรถยนต์บรรทุก โจทก์ที่ 1 และโต้แย้งว่าโจทก์เรียกค่าเสียหายมาสูงเกินไป จำเลยที่ 3 ที่ 4 ให้การและฟ้องแย้งว่าเหตุเกิดจากความประมาทของคนขับรถยนต์บรรทุกโจทก์ที่ 1 ขอให้บังคับโจทก์ที่ 1และโจทก์ที่ 2 ร่วมกันชำระค่าเสียหายรวมจำนวน 250,000 บาท แก่จำเลยที่ 3 ที่ 4 พร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้องแย้ง จำเลยที่ 5 ให้การว่าเหตุเกิดจากความประมาทของคนขับรถยนต์บรรทุกโจทก์ที่ 1 โจทก์เรียกร้องค่าเสียหายมาสูงเกินไป จำเลยที่ 5 มีความรับผิด สำหรับความเสียหายของทรัพย์สินบุคคลภายนอกไม่เกิน 100,000 บาท เกี่ยวกับการบาดเจ็บของบุคคลภายนอกไม่เกินคนละ 10,000 บาท โจทก์ที่ 1 ที่ 2 ให้การแก้ฟ้องแย้งจำเลยที่ 3 ที่ 4 ว่าคนขับรถยนต์บรรทุกจำเลยที่ 3 ที่ 4 เป็นฝ่ายขับรถประมาท จำเลยที่ 3 ที่ 4 เรียกค่าเสียหายมาสูงเกินไป ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วฟังว่าเหตุจากความประมาทของผู้ขับรถยนต์คันเกิดเหตุของโจทก์ที่ 1 พิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งสองสำหรับจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 5 ให้บังคับตามฟ้องแย้งของจำเลยที่ 3ที่ 4 ให้โจทก์ที่ 1 และโจทก์ที่ 2 ชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 150,000บาท และ 100,000 บาท ตามลำดับ ให้แก่จำเลยที่ 3 ที่ 4 พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 9 กรกฎาคม 2520ซึ่งเป็นวันทำละเมิดจนกว่าจะชำระเสร็จ โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์ฟังว่าเหตุเกิดจากความประมาทของผู้ขับรถคันเกิดเหตุของจำเลยที่ 1 ที่ 2 และของจำเลยที่ 3 ที่ 4 แต่ผู้ขับรถคันของจำเลยที่ 3 ที่ 4 มีส่วนประมาทน้อยกว่า พิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันชำระเงินจำนวน 350,000 บาท แก่โจทก์ที่ 1 และจำนวน97,400 บาท แก่โจทก์ที่ 2 พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 9 กรกฎาคม 2520 จนกว่าจะชำระเสร็จ โดยให้จำเลยที่ 3ที่ 4 ร่วมรับผิดในต้นเงิน 50,000 บาท และ 97,400 บาท แก่โจทก์ที่ 1 และโจทก์ที่ 2 ตามลำดับ ให้ยกฟ้องแย้ง จำเลยที่ 5 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีข้อวินิจฉัยในชั้นนี้เฉพาะปัญหาระหว่างผู้ขับรถคันหมายเลขทะเบียน ฉ.ช.06015 ของจำเลยที่ 1 ที่ 2ซึ่งจำเลยที่ 5 ต้องร่วมรับผิดในฐานะผู้รับประกันภัยและรถคันหมายเลขทะเบียน ช.บ.42547 ของโจทก์ที่ 1 ที่ 2 ว่าเหตุเกิดจากความประมาทของผู้ขับรถฝ่ายใด ส่วนคดีระหว่างโจทก์ที่ 1 ที่ 2และจำเลยที่ 3 ที่ 4 เป็นอันยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์โดยไม่มีฝ่ายใดฎีกา ในปัญหาที่จำเลยที่ 5 ฎีกาว่าเหตุเกิดจากความประมาทของผู้ขับรถคันเกิดเหตุของฝ่ายโจทก์นั้น ข้อเท็จจริงได้ความว่า ขณะเกิดเหตุรถคันหมายเลขทะเบียน ช.บ.42547 ของโจทก์ แล่นสวนทางกับรถคันหมายเลขทะเบียน ฉ.ช.06015 ของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ส่วนรถคันหมายเลขทะเบียน ฉ.ช.05644 ของจำเลยที่ 3 ที่ 4 แล่นตามหลังรถคันของโจทก์ ผู้ขับรถคันของโจทก์และของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ถึงแก่ความตายในรถ ฝ่ายโจทก์มีนายสำรอง มังคละคุปต์ ผู้โดยสารมาในรถและนายนัด ภิรมย์ ผู้ขับรถตามหลังรถคันของโจทก์เป็นพยานว่า ก่อนเกิดเหตุมีรถขบวนรถบรรทุก 4-5 คัน กำลังแล่นส่วนทางมาเมื่อขบวนรถ 4 คันแล่นสวนทางไปแล้ว รถคันของจำเลยที่ 1 ที่ 2คันสุดท้ายที่ตามขนวนมาได้หักหัวรถวิ่งเข้ามาในเส้นทางของรถโจทก์และห่างกันในระยะประมาณ 3 เมตร นายวิเชียรผู้ขับรถคันของโจทก์หักหลบไม่ทันจึงเกิดชนกันขึ้น ฝ่ายจำเลยมีนายวินัย ศรีสุนทร ผู้ขับรถคันของจำเลยที่ 3 ที่ 4 และนายเซียน อ่วมมงคล ผู้ขับรถตามหลังคันที่นายวินัยขับ เป็นประจักษ์พยานว่า ก่อนเกิดเหตุนายวินัยกำลังขับนำหน้ารถโจทก์อยู่ เมื่อเห็นมีขบวนรถประมาณ 4-5 คันกำลังแล่นสวนทางมา จึงเปิดไฟเลี้ยงขวาเป็นสัญญาณจราจรเตือนไม่ให้รถโจทก์แซงขึ้นมาขณะนั้น แต่ผู้ขับรถโจทก์กลับแล่นแซงล้ำเส้นแบ่งถนนเข้าไปในเส้นทางของขบวนรถดังกล่าว รถสองคันหน้าหักหลบซ้ายรอดพ้นการถูกชน รถโจทก์จึงแล่นชนรถจำเลยที่ 1 ที่ 2 ซึ่งหลบไม่พ้นตรงด้านหน้ารถข้างขวาและเกี่ยวหัวรถที่ถูกชนจนหมุนกลับข้างไปทิศทางเดิมที่แล่นมา และส่วนท้ายรถของโจทก์ปะทะกับหัวรถคันที่นายวินัยขับและเกี่ยวลากรถลงไปข้างทางด้วยกัน พันตำรวจตรีวัฒนากันตะเพ็ง สถานีตำรวจภูธรอำเภอปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมาเป็นผู้สอบสวนเหตุที่เกิดและลงความเห็นว่านายแสวงหรือวิเชียรผู้ขับรถของโจทก์เป็นผู้ขับรถโดยความประมาทฝ่ายเดียว
พิเคราะห์ข้อนำสืบของทั้งสองฝ่ายแล้ว ในข้อพิจารณาว่าความจริงเป็นดังที่ฝ่ายใดนำสืบนั้นเห็นว่านายวินัยพยานฝ่ายจำเลยเป็นผู้เกี่ยวข้องกับเหตุที่เกิดโดยเป็นผู้ขับรถคันหมายเลขทะเบียนที่ ฉ.ช.05644 แล่นมาในเส้นทางเดียวกับรถคันของโจทก์ก่อนจะเกิดเหตุตามภาพถ่ายหลังเกิดเหตุซึ่งปรากฏว่ารถคันที่นายวินัยขับได้แล่นไปปะทะรถคันหน้าของโจทก์ในสภาพรถทั้งสองคันถลาลงไปที่ไหล่ถนนด้านเดียวกัน จึงมีน้ำหนักน่าเชื่อว่าก่อนเกิดเหตุรถคันเกิดเหตุจากโจทก์ได้แซงขึ้นหน้ารถคันที่นายวินัยขับตามคำเบิกความของประจักษ์พยานจำเลยทั้งสอง ทั้งคำเบิกความของพยานจำเลยดังกล่าวก็สอดคล้องกับบันทึกการตรวจสถานที่เกิดเหตุของพันตำรวจตรีวัฒนากันตะเพ็ง พยานจำเลยอีกปากหนึ่งซึ่งเป็นผู้สอบสวนคดีนี้โดยผลการตรวจที่เกิดเหตุซึ่งเป็นถนนกว้าง 7 เมตร พบรอยครูดฉีกของกระทะล้อหน้าด้านขวาของรถคันหมายเลขทะเบียน ฉ.ซ.16015 เพราะบางล้อดังกล่าวแตกและเศษกระจกกองหนาอยู่ในบริเวณช่องเดินรถคันเกิดเหตุของจำเลยที่นายนพ ผู้ตายเป็นผู้ขับสวนทางมา ตามภาพถ่ายแสดงสภาพรถเกิดเหตุทั้งสองคัน ซึ่งได้รับความเสียหายอย่างยับเยินนั้น ปรากฏว่ารถคันเกิดเหตุของจำเลยได้รับความเสียหายเฉพาะส่วนหัวรถด้านหน้าค่อนมาทางด้านคนขับ โดยชิ้นส่วนหน้ารถมีลักษณะบิดเบี้ยว แต่ตัวรถส่วนกระบะด้านหลังยังมีสภาพปกติ ส่วนรถคันเกิดเหตุของโจทก์นอกจากได้รับความเสียหายทางส่วนหัวรถแล้ว ยังกินไปถึงส่วนกระบะด้านหลังคนขับในลักษณะหลุดพังทลายไปทั้งแถบ จากลักษณะความเสียหายของรถเกิดเหตุทั้งสองคันดังกล่าวสอดคล้องกับข้อเท็จจริงตามคำเบิกความของประจักษ์พยานจำเลยทั้งสอง และพยานหลักฐานในที่เกิดเหตุตามผลการสอบสวนของพันตำรวจตรีวัฒนาพยานจำเลยทั้งสองปากให้มีน้ำหนักรับฟังว่ารถคันเกิดเหตุของโจทก์ได้แล่นล้ำเส้นทางรถด้านตรงข้ามซึ่งมีขบวนรถหลายคันกำลังแล่นสวนทางมา และเนื่องจากรถคันที่นายนพขับตามหลังคันหน้ามาในขบวนไม่สามารถหักหลบได้ทันจึงเป็นเหตุให้รถคันที่นายแสวงหรือวิเชียรเป็นผู้ขับแล่นชนในสภาพเกือบประสานงาตามสภาพความเสียหายของรถทั้งสองที่ปรากฏในภาพถ่ายและด้วยแรงปะทะอย่างแรงประกอบกันเชื่อว่าผู้ขับรถคันที่แล่นชนได้บังคับรถเข้าทางช่องเดินรถด้านซ้ายอย่างกะทันหันที่เป็นเหตุให้หัวรถคันเกิดเหตุของจำเลยซึ่งเป็นรถเปล่ามิได้บรรทุกของมาถึงกับหมุนกลับไปจอดอยู่ริมถนนหันหลังให้กับเส้นทางที่กำลังแล่นมาและรถของโจทก์ซึ่งส่วนกระบะได้เบียดกระแทกจนพังทลายไปทั้งแถบได้แล่นไปพลิกตะแคงอยู่ที่ไหล่ถนนในเส้นทางที่แล่นมาตามที่ปรากฏในภาพถ่ายและแผนที่เกิดเหตุในสำนวนการสอบสวน คำเบิกความของนายนัดและนายสำรองพยานโจทก์นอกจากจะขัดแย้งกับข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้องยังขัดแย้งกับร่องรอยหลักฐานที่ปรากฏในที่เกิดเหตุ ทั้งไม่ปรากฏว่านายนัดได้ให้การเป็นพยานในชั้นสอบสวนจึงไม่น่าเชื่อว่าได้เห็นเหตุการณ์ดังที่เบิกความส่วนนายสำรองพยานโจทก์ซึ่งนั่งมากับรถคันเกิดเหตุ ก็น่าเชื่อว่าไม่เห็นเหตุการณ์เพราะนั่งหลับมาในรถตามที่ได้บอกกับนายไพบูลย์ งามทวี พนักงานบริษัท จำเลยที่ 5พยานจำเลย ซึ่งไปสอบถามข้อเท็จจริงหลังเกิดเหตุ พยานหลักฐานฝ่ายจำเลยฟังได้ว่าเหตุเกิดจากความประมาทของผู้ขับรถคันเกิดเหตุของโจทก์ฝ่ายเดียว คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาจำเลยที่ 5 ฟังขึ้น และเนื่องด้วยเหตุเกิดจากมูลกรณีละเมิดอันเดียวกันของศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3ที่ 4 และที่ 5 ร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ กรณีเป็นเรื่องเกี่ยวด้วยการชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ แม้จำเลยที่ 1ที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 จะมิได้ฎีกา ศาลฎีกาก็เห็นสมควรพิพากษาให้มีผลถึงจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 245(1), 247
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ที่ 1 ที่ 2 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 2 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลแทนจำเลยที่ 5 โดยกำหนดค่าทนายความรวมเป็นเงิน 5,000 บาท ส่วนค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ให้เป็นพับ”