คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 350/2558

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

พ. ทนายโจทก์ได้รับแต่งตั้งให้ว่าความมาตั้งแต่ศาลชั้นต้น ปรากฏว่าใบแต่งทนายความดังกล่าวไม่ได้ระบุให้ทนายโจทก์มีอำนาจอุทธรณ์ฎีกาแทนโจทก์ได้ ฟ้องอุทธรณ์ของโจทก์ที่ทนายโจทก์ลงชื่อเป็นผู้อุทธรณ์ จึงไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 62 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 246 ศาลอุทธรณ์ชอบที่จะต้องแก้ไขความบกพร่องในข้อนี้เสียก่อน แม้ฟ้องอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 จะยื่นโดยชอบแล้วก็ตาม การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์และจำเลยที่ 1 ไปพร้อมกันและมีคำพิพากษาโดยที่ยังมิได้แก้ไขข้อบกพร่องดังกล่าวเสียให้ถูกต้อง เป็นการมิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.พ. ว่าด้วยการพิจารณาตามมาตรา 243 (2) เป็นการไม่ชอบและเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยให้ถูกต้อง ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246 และมาตรา 247 และไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของโจทก์ต่อไป

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน 4,714,952.32 บาท แก่โจทก์ และให้จำเลยทั้งสามร่วมกันรับผิดชำระเงินแก่โจทก์วันละ 60,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยทั้งสามจะไม่ขัดขวางโจทก์ในการขนย้ายทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ออกจากสถานที่เช่าและปรับปรุงสถานที่เช่าให้อยู่ในสภาพเดิม หากจำเลยทั้งสามไม่ชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ซึ่งโจทก์ใช้สิทธิยึดหน่วงไว้ขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์จนครบ และหากยังไม่พอให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสามออกขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ
จำเลยที่ 1 ให้การและฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องโจทก์ และบังคับโจทก์ชำระเงินค่าเช่าและค่าบริการคืนแก่จำเลยที่ 1 เป็นเงิน 812,420 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 791,600 บาท นับแต่วันฟ้องแย้งเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้โจทก์ส่งมอบทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 คืนในสภาพเรียบร้อย หากส่งคืนไม่ได้ให้ชำระราคาแทนเป็นเงิน 9,519,246 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องแย้งเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ กับให้โจทก์ชดใช้ค่าเสียหาย 2,840,000 บาท และค่าขาดรายได้เป็นเงินวันละ 20,000 บาท นับแต่วันฟ้องแย้งเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้การขอให้ยกฟ้อง
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งทำนองเดียวกับคำฟ้องของโจทก์ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์ชำระเงิน 791,600 บาท แก่จำเลยที่ 1 พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 1 เมษายน 2543 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้โจทก์คืนทรัพย์สินที่ยึดไว้จากจำเลยที่ 1 ทุกรายการ หากรายการใดคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทนซึ่งรวมทุกรายการแล้วไม่เกิน 600,000 บาท กับให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลยที่ 1 โดยกำหนดค่าทนายความ 60,000 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์และจำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมสำหรับฟ้องโจทก์ในศาลชั้นต้นและค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ของทั้งสองฝ่ายให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าใบแต่งทนายความดังกล่าวไม่ได้ระบุให้ทนายโจทก์มีอำนาจอุทธรณ์ฎีกาแทนโจทก์ได้ ฟ้องอุทธรณ์ของโจทก์ที่ทนายโจทก์ลงชื่อเป็นผู้อุทธรณ์ จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 62 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 246 ศาลอุทธรณ์ชอบที่จะต้องแก้ไขความบกพร่องในข้อนี้เสียก่อน แม้ฟ้องอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 จะยื่นโดยชอบแล้วก็ตาม การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์และจำเลยที่ 1 ไปพร้อมกันและมีคำพิพากษา โดยที่ยังมิได้แก้ไขข้อบกพร่องดังกล่าวเสียให้ถูกต้อง เป็นการมิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยการพิจารณา ตามมาตรา 243 (2) เป็นการไม่ชอบและเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยให้ถูกต้อง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246 และมาตรา 247 และไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของโจทก์ต่อไป
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ศาลชั้นต้นจัดการแก้ไขข้อบกพร่องเกี่ยวกับอำนาจของทนายความในการอุทธรณ์ฎีกาแทนโจทก์เสียให้ถูกต้อง เมื่อเป็นฟ้องอุทธรณ์ที่บริบูรณ์ชอบด้วยกฎหมายแล้ว ให้ส่งสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้ศาลอุทธรณ์รวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่ และให้ยกฎีกาของโจทก์ คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาทั้งหมดแก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกานอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ

Share