คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 35/2499

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ประมูลเช่าที่ดินได้ จึงเข้าทำนา โดยผู้เสียหายก็เข้าแย่งทำด้วยจำเลยเกี่ยวข้าวไปทั้งหมด โดยรู้ว่าเป็นข้าวของผู้เสียหายรวมอยู่ด้วยเป็นการทุจริต เป็นความผิดฐานลักทรัพย์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2496 เวลากลางวันจำเลยกับพวกอีกหลายคนสมคบกันลักเอาข้าวเปลือกของนายทองดี หรือบุญ ใยสุข ไป 196 ถัง ราคา 1,372 บาท โดยทำการเก็บเกี่ยวข้าวจากต้นข้าวในนานายทองดี หรือบุญ ใยสุข ซึ่งได้ปลูกทำนาไว้ เอาเมล็ดข้าวเปลือกที่สุกแล้วไป 140 ถัง ราคา 980 บาท นอกนี้อีก 56 ถังเป็นข้าวเปลือกที่อ่อนยังไม่สุก จำเลยทิ้งไว้ไม่เอาไป เหตุเกิดที่ตำบลหนองอีรุณ อำเภอบ้านบึง จังหวัดชลบุรี ขอให้ลงโทษจำเลยตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 292,293 และให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาข้าวเปลือก เป็นเงิน 1,372 บาท แก่เจ้าทรัพย์

จำเลยให้การต่อสู้ว่า จำเลยได้ปลูกดำข้าวลงในที่ดินซึ่งจำเลยประมูลเช่าจากศาล แต่ผู้เสียหายเข้ามาแย่งที่ปลูกแย่งดำถึงเวลาเก็บเกี่ยวจำเลยก็เก็บเกี่ยวข้าวทั้งหมดในที่นี้ เพราะจำเลยถือว่า เป็นที่จำเลยเช่ามา

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว ฟังว่า จำเลยเก็บเกี่ยวข้าวทั้งหมด ซึ่งมีข้าวของผู้เสียหายรวมอยู่ด้วย แม้จำเลยจะเข้าใจว่า เป็นที่พิพาทจำเลยไม่มีความชอบธรรมจะเก็บเกี่ยวข้าวที่ตนเองไม่ได้ปลูกไปโดยพลการการกระทำของจำเลยเป็นผิดฐานลักทรัพย์ พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 292, 293 ให้จำคุกจำเลย 6 เดือนส่วนที่โจทก์ขอให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาข้าวนั้นเห็นว่า ข้าวของจำเลยและของผู้เสียหายปะปนระคนกัน แยกไม่ออกว่าของใครเท่าไร จึงยังไม่บังคับให้จำเลยคืนหรือใช้ราคา

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ โดยเชื่อว่า จำเลยได้ปักดำข้าวลงไปโดยสุจริต เข้าใจว่าอยู่ในภายเขตที่ดินพิพาทซึ่งนายเอี้ยมเป็นความกับจำเลย เคยชี้ว่า เป็นเขตที่ของนายเอี้ยมจะฟังว่าจำเลยเก็บเกี่ยวเอาข้าวมาโดยเจตนาทุจริตยังไม่ได้จำเลยยังไม่มีความผิดฐานลักทรัพย์

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาได้ตรวจสำนวนและประชุมปรึกษาแล้ว ทางพิจารณาโจทก์นำสืบว่า นายทองดี ผู้เสียหายมีที่ดินแปลงหนึ่ง เนื้อที่ประมาณ 30 ไร่ ผู้เสียหายได้ทำนาในที่รายนี้ประมาณ 10 ไร่ ครั้นวันแรม 7 ค่ำเดือน 12 พ.ศ. 2496 จำเลยกับพวกประมาณ 20 คน ได้มาเก็บเกี่ยวข้าวในนาของผู้เสียหายทั้ง ๆ ที่ข้าวยังไม่สุกเต็มรวงเกี่ยววันนั้นฟาดวันนั้น ข้าวที่สุกจำเลยเอาไป ที่ยังไม่สุกจำเลยทิ้งไว้ที่นั่น ข้าวที่สุกแล้วประมาณ 100 ถังเศษ ผู้เสียหายห้ามปรามไม่ฟัง จึงได้นำความไปร้องเรียนต่อเจ้าพนักงานดำเนินคดีกับจำเลย

จำเลยนำสืบว่า จำเลยเป็นความกับนายเอี้ยมเรื่องที่ดินในระหว่างคดีจำเลยเป็นผู้ประมูลเช่าที่พิพาทจากศาล ซึ่งรวมทั้งที่ที่ถูกกล่าวหานี้ผู้เสียหายเข้ามาไถนาในที่รายนี้ จำเลยถือสิทธิว่าเป็นผู้เช่าจากศาลจำเลยได้เอากล้าไปปักดำ ผู้เสียหายมาแย่งปักดำบ้างข้าวปะปนระคนกันอยู่ เวลาเก็บเกี่ยวจำเลยเก็บเกี่ยวทั้งหมด

ได้พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า ตามคำให้การต่อสู้คดีของจำเลยก็รับอยู่แล้วว่าข้าวของผู้เสียหายปลูกปะปนระคนอยู่กับข้าวของจำเลยในที่นารายนี้ จำเลยได้เก็บเกี่ยวข้าวทั้งหมดในที่นารายนี้ไป โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นข้าวของผู้เสียหายรวมอยู่ด้วย ซึ่งผู้เสียหายมิได้อนุญาตให้เก็บเกี่ยวเอาไป การที่จำเลยมาเก็บเกี่ยวเอาข้าวของผู้เสียหายไปโดยรู้อยู่แล้วว่าไม่ใช่ข้าวของตน และเจ้าของไม่อนุญาตเช่นนี้ แม้จำเลยจะเข้าใจว่าเป็นข้าวที่ปลูกในที่พิพาทซึ่งจำเลยประมูลเช่ามาจากศาลก็ตาม ย่อมเป็นการบังอาจเอาทรัพย์ของผู้อื่นไปโดยการทุจริต จำเลยจึงพ้นผิดฐานลักทรัพย์ไปไม่ได้ ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น แต่จำเลยให้การเป็นประโยชน์ในทางพิจารณาคดีอยู่บ้างศาลฎีกาเห็นควรปรานีลดโทษให้ 1 ใน 3 จากกำหนดโทษที่ศาลชั้นต้นวางไว้ตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 59 และตามรูปเรื่องแห่งคดีนี้ ยังเห็นควรให้รอการลงโทษจำเลยไว้ก่อนด้วย

จึงพิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้ลดโทษจำเลย โดยลดโทษลง 1 ใน 3 ตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 59 จากกำหนดโทษจำคุก 6 เดือนที่ศาลชั้นต้นวางไว้ คงให้จำคุกจำเลย 4 เดือนและให้รอการลงโทษไว้มีกำหนดระยะเวลา 2 ปี ตามพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายลักษณะอาญา (ฉบับที่ 14) พ.ศ. 2494 มาตรา 3 นอกจากนี้ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share