คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3496/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1574 ได้บัญญัติไว้เฉพาะในกรณีที่ผู้ใช้อำนาจปกครองของผู้เยาว์ทำนิติกรรมที่เกี่ยวกับทรัพย์สินของผู้เยาว์จะต้องได้รับอนุญาตจากศาลเสียก่อน เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า โจทก์ผู้เยาว์เป็นผู้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความเอง บิดาโจทก์เพียงแต่ลงลายมือชื่อในฐานะพยานเท่านั้นดังนี้ จึงไม่ต้องได้รับอนุญาตจากศาล สัญญาประนีประนอมยอมความที่โจทก์ผู้เยาว์ทำขึ้น มี บ.ผู้แทนโดยชอบธรรมลงลายมือชื่อเป็นพยานในเอกสารนั้น ย่อมถือได้ว่าผู้แทนโดยชอบธรรมให้ความยินยอมแล้ว ดังนั้น สัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวจึงสมบูรณ์มีผลใช้บังคับได้ ไม่เป็นโมฆียะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 21 ขณะจำเลยที่ 1 จดทะเบียนสมรสกับโจทก์นั้น จำเลยที่ 1 ได้บรรลุนิติภาวะแล้ว ทั้งได้แสดงความยินยอมเป็นสามีภริยาโดยเปิดเผยต่อหน้านายทะเบียนและพยานซึ่งเป็นพนักงานฝ่ายปกครองอีกด้วยเมื่อไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าการจดทะเบียนสมรสได้กระทำไปโดยเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายประการใดแล้ว ย่อมไม่เป็นเหตุให้เพิกถอนการจดทะเบียนสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์และจำเลยที่ 1 เป็นสามีภริยากันก่อนจดทะเบียนสมรส จำเลยทั้งสองได้ตกลงกับโจทก์ที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอโพธารามว่าจะให้จำเลยที่ 1 จดทะเบียนสมรสกับโจทก์ให้เงินสินสอดกับโจทก์ 40,000 บาท และจะจัดพิธีแต่งงานตามประเพณีในเดือนกรกฎาคม 2533 หลังแต่งงานตามประเพณีไปแล้ว 2 เดือนจำเลยทั้งสองจะมอบทองรูปพรรณหนัก 2 บาท ให้โจทก์ ทั้งนี้เพื่อระงับคดีอาญาที่โจทก์แจ้งความดำเนินคดีแก่จำเลยที่ 1 แต่จำเลยทั้งสองไม่ชำระเงิน 40,000 บาท ไม่จัดงานแต่งงานตามประเพณีและไม่มอบทองรูปพรรณหนัก 2 บาท มูลค่า 10,000 บาท ให้โจทก์ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระเงิน 50,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยที่ 2 ไม่ได้ลงลายมือชื่อเป็นคู่สัญญากับโจทก์ จึงไม่มีนิติสัมพันธ์กัน สัญญาประนีประนอมยอมความเป็นโมฆะเพราะทำโดยมิได้รับอนุญาตจากศาลนอกจากนี้จำเลยที่ 1 ทำสัญญากับโจทก์ เพราะถูกขู่เข็ญว่าจะดำเนินคดีเรื่องข่มขืนกระทำชำเรา สัญญาประนีประนอมยอมความจึงตกเป็นโมฆะเช่นกัน โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเรียกค่าสินสอดเพราะโจทก์ไม่ใช่บิดามารดาหรือผู้ปกครองของฝ่ายหญิง จำเลยที่ 1 จดทะเบียนสมรสกับโจทก์แล้วต่างคนต่างอยู่ ทั้งนี้เพราะมิได้มีเจตนาจะทำการสมรสกันจริง การสมรสจึงเป็นโมฆะ ขอให้ยกฟ้องและเพิกถอนการสมรสระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 1
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า การสมรสระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 1 เกิดจากความสมัครใจ มิใช่เกิดจากการข่มขู่หรือบังคับจากผู้ใด จำเลยที่ 1 จึงไม่มีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนการสมรสขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ใช้เงิน 40,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ นอกจากนี้ให้ยกและให้ยกฟ้องแย้ง
โจทก์และจำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน50,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เมื่อเอกสารหมาย จ.3 เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความที่จำเลยที่ 1 ตกลงจะชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์เนื่องมาจากมูลละเมิดไม่ใช่เป็นเรื่องจะให้สินสอดแก่บิดามารดาของโจทก์จึงมีข้อที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ในปัญหาข้อกฎหมายว่าสัญญาประนีประนอมยอมความที่ทำกันไว้ตามเอกสารหมาย จ.3นั้นเป็นโมฆะหรือไม่ จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า สัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวเป็นนิติกรรมเกี่ยวแก่ทรัพย์สินของผู้เยาว์ได้ทำขึ้นขณะโจทก์ยังเป็นผู้เยาว์ โจทก์จะต้องได้รับอนุญาตจากศาลเสียก่อนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1574 เมื่อโจทก์ไม่ได้รับอนุญาตจากศาลก็ตกเป็นโมฆะนั้น เห็นว่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1574 ได้บัญญัติไว้เฉพาะในกรณีผู้ใช้อำนาจปกครองของผู้เยาว์ทำนิติกรรมที่เกี่ยวกับทรัพย์สินของผู้เยาว์จะต้องได้รับอนุญาตจากศาลเสียก่อน แต่ตามข้อเท็จจริงในคดีนี้ปรากฏว่าโจทก์ผู้เยาว์เป็นผู้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความเอง บิดาโจทก์เพียงแต่ลงลายมือชื่อในฐานะพยานเท่านั้น ดังนี้ จึงไม่ต้องได้รับอนุญาตจากศาล การที่โจทก์ซึ่งยังเป็นผู้เยาว์ในขณะนั้นทำสัญญาประนีประนอมยอมความตามเอกสารหมาย จ.3 ดังกล่าว เป็นโมฆะหรือไม่เห็นว่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 21ได้บัญญัติว่า ผู้เยาว์จะทำนิติกรรมใด ๆ ต้องได้รับความยินยอมของผู้แทนโดยชอบธรรมก่อน การใด ๆ ที่ผู้เยาว์ได้ทำลงไปปราศจากความยินยอมเช่นว่านั้นเป็นโมฆียะ เว้นแต่จะบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่นจึงเห็นว่า นิติกรรมตามเอกสารหมาย จ.3 นั้น แม้โจทก์ยังเป็นผู้เยาว์ แต่ได้ทำลงไปโดยมีนายบุญมาผู้แทนโดยชอบธรรมลงลายมือชื่อเป็นพยานในเอกสารนั้น ย่อมถือได้ว่าผู้แทนโดยชอบธรรมให้ความยินยอมแล้ว ดังนั้น สัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวจึงสมบูรณ์มีผลใช้บังคับได้
ปัญหาประการต่อไปว่า จำเลยที่ 1 จะขอเพิกถอนการจดทะเบียนสมรสตามฟ้องแย้งได้หรือไม่ จำเลยที่ 1 ฎีกาเป็นทำนองว่าได้จดทะเบียนสมรสกับโจทก์ เนื่องจากโจทก์ได้แจ้งความต่อพนักงานสอบสวนดำเนินคดีแก่จำเลยที่ 1 ข้อหาข่มขืนกระทำชำเราโจทก์ซึ่งในเวลานั้นจำเลยที่ 1 กำลังศึกษาอยู่อันอาจกระทบกระเทือนต่อสถานภาพทางการศึกษาของจำเลยที่ 1 พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า ขณะที่จำเลยที่ 1 จดทะเบียนสมรสกับโจทก์นั้น จำเลยที่ 1 ได้บรรลุนิติภาวะแล้ว มีความรู้สึกผิดชอบดีแล้ว และนอกจากนี้จำเลยที่ 1 ยังได้เบิกความตอบคำถามค้านของทนายโจทก์ว่า หลังจากทำบันทึกประจำวันเอกสารหมาย จ.3 แล้วจำเลยที่ 1 กับโจทก์ไปจดทะเบียนสมรส ณ ที่ว่าการอำเภอโพธารามโดยไม่มีเจ้าพนักงานตำรวจไปด้วยแต่อย่างใด อีกทั้งได้แสดงความยินยอมเป็นสามีภริยาโดยเปิดเผยต่อหน้านายทะเบียนและพยานซึ่งเป็นพนักงานฝ่ายปกครองอีกด้วยจึงเป็นข้อบ่งชี้ให้เห็นว่า จำเลยที่ 1ไปจดทะเบียนสมรสนั้นไม่ได้ถูกผู้ใดบังคับขู่เข็ญแต่เป็นการกระทำโดยความสมัครใจของจำเลยที่ 1 การที่อ้างว่าจะกระทบกระเทือนต่อสถานภาพทางการศึกษาของจำเลยที่ 1 นั้น ก็เป็นเรื่องคาดคะเนของจำเลยที่ 1 ทั้งเป็นเรื่องส่วนตัวของจำเลยที่ 1 เมื่อไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าการจดทะเบียนสมรสได้กระทำไปโดยเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายประการใดแล้ว ย่อมไม่เป็นเหตุให้เพิกถอนการจดทะเบียนสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1
พิพากษายืน

Share