คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3493/2562

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

พ.ร.บ.จดแจ้งการพิมพ์ พ.ศ.2550 มาตรา 4 บัญญัติว่า ในพระราชบัญญัตินี้ “ผู้พิมพ์” หมายความว่า บุคคลซึ่งจัดการและรับผิดชอบในการพิมพ์ “ผู้โฆษณา” หมายความว่า บุคคลซึ่งรับผิดชอบในการจัดให้สิ่งพิมพ์แพร่หลายด้วยประการใด ๆ ไม่ว่าจะเป็นการขายหรือให้เปล่า “บรรณาธิการ” หมายความว่า บุคคลผู้รับผิดชอบในการจัดทำ และควบคุมเนื้อหาข้อความหรือภาพที่ลงพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ รวมทั้งวัสดุหรือเอกสารที่แทรกในหนังสือพิมพ์โดยความเห็นชอบของบรรณาธิการด้วย จากบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวเป็นการกำหนดความรับผิดของบุคคลผู้เป็นบรรณาธิการ ผู้พิมพ์ ผู้โฆษณา ต้องรับผิดชอบในการจัดทำและควบคุมเนื้อหาข้อความหรือภาพที่ลงพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ รับผิดชอบในการพิมพ์ และรับผิดชอบในการจัดให้สิ่งพิมพ์แพร่หลายด้วยประการใด ๆ จำเลยที่ 2 ในฐานะบรรณาธิการ ผู้พิมพ์ ผู้โฆษณาหนังสือพิมพ์ ท. จึงต้องรับผิดชอบในการจัดทำและควบคุมเนื้อหาข้อความหรือภาพที่ลงพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ ท. มิให้ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น เมื่อกฎหมายกำหนดให้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบรรณาธิการ ผู้พิมพ์ ผู้โฆษณามีหน้าที่กระทำการดังกล่าวแล้ว แต่จำเลยที่ 2 กลับไม่ได้ใส่ใจตรวจสอบ คัดเลือก หรือควบคุมข่าวที่ลงพิมพ์ โดยปล่อยให้มีการตีพิมพ์ข้อความในหนังสือพิมพ์ ท. ที่ไม่เป็นความจริง กระทบสิทธิและก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น เป็นการไม่รักษาจริยธรรมของสื่อมวลชน อันเป็นการกระทำการโดยงดเว้นการที่จักต้องกระทำเพื่อป้องกันผลนั้นตาม ป.อ. มาตรา 59 วรรคท้าย ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 เป็นตัวการร่วมกระทำความผิดและต้องรับผิดในข้อความที่ลงพิมพ์ หากข้อความนั้นเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์ตาม ป.อ. มาตรา 83
ในคดีหมิ่นประมาทซึ่งศาลมีคำพิพากษาว่าจำเลยมีความผิด ป.อ. มาตรา 332 (2) ให้อำนาจศาลสั่งให้จำเลยโฆษณาคำพิพากษาทั้งหมด หรือแต่บางส่วนในหนังสือพิมพ์หนึ่งฉบับหรือหลายฉบับ ครั้งเดียวหรือหลายครั้ง โดยให้จำเลยเป็นผู้ชำระค่าโฆษณา ดังนั้น แม้โจทก์จะมีคำขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันโฆษณาขอโทษโจทก์ในหนังสือพิมพ์ โดยมิได้มีคำขอให้โฆษณาคำพิพากษาในหนังสือพิมพ์ แต่เมื่อเป็นอำนาจของศาล การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 2 โฆษณาคำพิพากษาในหนังสือพิมพ์ ท. 3 ครั้ง ภายใน 1 เดือน โดยค่าใช้จ่ายของจำเลยที่ 2 จึงไม่เป็นการพิพากษาเกินคำขออันต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคหนึ่ง
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 9/2562)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 326, 327 และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันลงโฆษณาขอโทษโจทก์ในหนังสือพิมพ์
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูลตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 ประกอบมาตรา 83 ให้ประทับฟ้องไว้พิจารณา
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 328 จำคุก 2 เดือน ปรับ 10,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 1 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 กับให้จำเลยที่ 2 โฆษณาคำพิพากษาในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ 3 ครั้ง ภายใน 1 เดือน โดยค่าใช้จ่ายของจำเลยที่ 2 คำขออื่นให้ยก และยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1
โจทก์และจำเลยที่ 2 อุทธรณ์โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันในชั้นนี้รับฟังได้ว่า โจทก์ประกอบอาชีพค้าขาย โดยใช้บ้านของโจทก์ ซึ่งเป็นบ้านไม้ชั้นเดียวด้านหน้าเป็นร้านค้าขายก๋วยเตี๋ยว อาหาร เครื่องดื่ม และสินค้าเบ็ดเตล็ด เปิดร้านตั้งแต่เวลา 6 นาฬิกา ถึง 22 นาฬิกา ด้านหลังใช้พักอาศัย บ้านของโจทก์ตั้งอยู่ริมถนนโพธาราม – ช่องพราน ตรงข้ามบริษัทคิวเฟร้น คอนกรีตแมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์รายวัน “ไทยรัฐ” โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นบรรณาธิการ ผู้พิมพ์ ผู้โฆษณา ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับปีที่ 66 ฉบับที่ 20986 วันอังคารที่ 7 กรกฎาคม 2558 คอลัมน์ห้องร้องทุกข์หน้าที่ 10 ย่อหน้าสุดท้ายลงข้อความว่า “สุดท้าย ที่หมู่ 1 ต.ท่าชุมพล อ.โพธาราม จังหวัดราชบุรี มีร้านอาหารและร้านก๋วยเตี๋ยวอยู่ตรงข้ามบริษัทคิวเฟร้น เป็นบริษัททำรั้วสำเร็จรูป ขายอาหารบังหน้า แต่เบื้องหลังปล่อยยาบ้า กลางคืนลูกค้าเพียบ! แจ้ง! สภ.โพธาราม ก็เฉย ฝาก! คสช. ลงพื้นที่ปราบหน่อย” ต่อมาวันที่ 8 กรกฎาคม 2558 ได้มีเจ้าพนักงานเข้าตรวจค้นร้านค้าของโจทก์ดังกล่าว ผลการตรวจค้นไม่พบสิ่งผิดกฎหมาย ภายหลังจำเลยที่ 1 ได้ลงแก้ข่าวให้แก่โจทก์ คดีสำหรับจำเลยที่ 1 ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา จึงเป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7
คงมีปัญหาต้องวินิจฉัยเฉพาะคดีสำหรับจำเลยที่ 2 ตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยที่ 2 ในฐานะบรรณาธิการ ผู้พิมพ์ ผู้โฆษณาหนังสือพิมพ์ไทยรัฐจะมีความผิดอาญา หากข้อความที่ลงในหนังสือพิมพ์เป็นการหมิ่นประมาทโจทก์หรือไม่ ข้อเท็จจริงได้ความตามที่โจทก์นำสืบว่า เมื่อร้านค้าของโจทก์ถูกตรวจค้นจากการที่หนังสือพิมพ์ไทยรัฐลงข้อความดังกล่าวในคอลัมน์ห้องร้องทุกข์ที่ระบุเพียงหมายเลขโทรศัพท์ที่ใช้ติดต่อ ไม่ปรากฏชื่อผู้รับผิดชอบคอลัมน์ โจทก์จึงโทรศัพท์ไปยังหมายเลขที่ระบุในคอลัมน์ห้องร้องทุกข์เพื่อสอบถามถึงชื่อผู้แจ้งข่าวและผู้เขียนบทความ แต่ก็ถูกปฏิเสธไม่ได้รับคำตอบ ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า พระราชบัญญัติจดแจ้งการพิมพ์ พ.ศ.2550 มาตรา 4 บัญญัติว่า ในพระราชบัญญัตินี้ “ผู้พิมพ์” หมายความว่า บุคคลซึ่งจัดการและรับผิดชอบในการพิมพ์ “ผู้โฆษณา” หมายความว่า บุคคลซึ่งรับผิดชอบในการจัดให้สิ่งพิมพ์แพร่หลายด้วยประการใด ๆ ไม่ว่าจะเป็นการขายหรือให้เปล่า “บรรณาธิการ” หมายความว่า บุคคลผู้รับผิดชอบในการจัดทำ และควบคุมเนื้อหา ข้อความหรือภาพที่ลงพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ รวมทั้งวัสดุหรือเอกสารที่แทรกในหนังสือพิมพ์ โดยความเห็นชอบของบรรณาธิการด้วย จากบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวเป็นการกำหนดความรับผิดของบุคคลผู้เป็นบรรณาธิการ ผู้พิมพ์ ผู้โฆษณา ต้องรับผิดชอบในการจัดทำและควบคุมเนื้อหาข้อความหรือภาพที่ลงพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ รับผิดชอบในการพิมพ์ และรับผิดชอบในการจัดให้สิ่งพิมพ์แพร่หลายด้วยประการใด ๆ ดังนั้น จำเลยที่ 2 ในฐานะบรรณาธิการ ผู้พิมพ์ ผู้โฆษณาหนังสือพิมพ์ไทยรัฐจึงต้องรับผิดชอบในการจัดทำและควบคุมเนื้อหาข้อความหรือภาพที่ลงพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐมิให้ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น ที่จำเลยที่ 2 นำสืบปฏิเสธว่า จำเลยที่ 2 ไม่มีหน้าที่รับผิดชอบ โดยมีหน้าที่เพียงติดต่อกับบุคคลหรือองค์กรภายนอก เข้าร่วมประชุม เข้าร่วมสัมมนา รับรางวัลในฐานะตัวแทนของหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ไม่มีหน้าที่ตรวจข่าวที่ลงในหนังสือพิมพ์ การดูแลข่าวในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐเป็นหน้าที่บรรณาธิการข่าวแต่ละแผนกเป็นผู้ดูแลนั้น ก็ปรากฏว่าหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ มีเพียงจำเลยที่ 2 ที่มีชื่อเป็นบรรณาธิการ ผู้พิมพ์ ผู้โฆษณาแต่ผู้เดียว เมื่อกฎหมายกำหนดให้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบรรณาธิการ ผู้พิมพ์ ผู้โฆษณามีหน้าที่กระทำการดังกล่าวแล้ว แต่จำเลยที่ 2 กลับไม่ได้ใส่ใจตรวจสอบ คัดเลือก หรือควบคุมข่าวที่ลงพิมพ์ โดยปล่อยให้มีการตีพิมพ์ข้อความในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐที่ไม่เป็นความจริง กระทบสิทธิและก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น เป็นการไม่รักษาจริยธรรมของสื่อมวลชน อันเป็นการกระทำการโดยงดเว้นการที่จักต้องกระทำเพื่อป้องกันผลนั้นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 59 วรรคท้าย ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 เป็นตัวการร่วมกระทำความผิดและต้องรับผิดในข้อความที่ลงพิมพ์ หากข้อความนั้นเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 วินิจฉัยว่า จำเลยที่ 2 ไม่มีเจตนาร่วมกับผู้เขียนข้อความในการกระทำความผิดตามฟ้องของโจทก์นั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
เมื่อวินิจฉัยดังนี้แล้ว และศาลอุทธรณ์ภาค 7 ยังมิได้วินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ และของจำเลยที่ 2 อีกหลายข้อ แต่เมื่อคู่ความได้สืบพยานมาเสร็จสิ้นแล้ว ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์และของจำเลยที่ 2 ไปเสียทีเดียวโดยไม่ย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 7 วินิจฉัย
คงมีปัญหาต้องวินิจฉัยข้อแรกตามอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ว่า ข้อความที่ลงพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐเป็นข้อความหมิ่นประมาทโจทก์หรือไม่ เห็นว่า โจทก์มีตัวโจทก์เบิกความว่า บ้านของโจทก์ที่พักอาศัยอยู่ตรงข้ามบริษัทคิวเฟร้น คอนกรีตแมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด ด้านหน้าเปิดเป็นร้านขายก๋วยเตี๋ยว อาหาร เครื่องดื่ม ด้านหลังใช้พักอาศัย ร้านที่ขายอาหารและก๋วยเตี๋ยวที่อยู่ตรงข้ามบริษัทดังกล่าวมีร้านเดียวคือร้านของโจทก์ จำเลยที่ 2 มิได้นำสืบหักล้างให้เห็นว่า ร้านขายอาหารและก๋วยเตี๋ยวที่อยู่ตรงข้ามบริษัทคิวเฟร้น คอนกรีตแมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด มีร้านอื่นนอกจากร้านของโจทก์ด้วย ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ตามที่โจทก์นำสืบ ดังนั้น แม้ข้อความที่ลงพิมพ์ดังกล่าวจะมิได้ระบุชื่อหรือชื่อสกุลของโจทก์ หรือชื่อร้านค้าของโจทก์ แต่เมื่อร้านขายอาหารและก๋วยเตี๋ยวที่อยู่ตรงข้ามบริษัทคิวเฟร้น คอนกรีตแมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด มีร้านค้าของโจทก์เพียงร้านเดียว การที่หนังสือพิมพ์ไทยรัฐลงพิมพ์ข้อความว่า ร้านอาหารและร้านก๋วยเตี๋ยวอยู่ตรงข้ามบริษัทคิวเฟร้น ขายอาหารบังหน้า แต่เบื้องหลังปล่อยยาบ้า บุคคลทั่วไปที่อ่านข้อความดังกล่าวย่อมทราบหรือเข้าใจได้ทันทีว่า ร้านอาหารและร้านก๋วยเตี๋ยวของโจทก์จำหน่ายยาเสพติดซึ่งเป็นสิ่งผิดกฎหมาย ข้อความที่ลงพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐดังกล่าวจึงเป็นการใส่ความโจทก์ต่อบุคคลที่สามทำให้โจทก์เสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง เป็นการหมิ่นประมาทโจทก์ และมิใช่เป็นการแสดงความคิดเห็นหรือข้อความโดยสุจริต ติชมด้วยความเป็นธรรมอันเป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทำดังที่จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ จำเลยที่ 2 จึงมีความผิดฐานหมิ่นประมาทโจทก์ตามที่ศาลชั้นต้นพิพากษา อุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยข้อต่อไปตามอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ว่า ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ลงโฆษณาคำพิพากษาในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ 3 ครั้ง ภายใน 1 เดือน โดยค่าใช้จ่ายของจำเลยที่ 2 เป็นการพิพากษาเกินคำขอหรือไม่ เห็นว่า ในคดีหมิ่นประมาทซึ่งศาลมีคำพิพากษาว่าจำเลยมีความผิด ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 332 (2) ให้อำนาจศาลสั่งให้จำเลยโฆษณาคำพิพากษาทั้งหมดหรือแต่บางส่วนในหนังสือพิมพ์หนึ่งฉบับหรือหลายฉบับ ครั้งเดียวหรือหลายครั้ง โดยให้จำเลยเป็นผู้ชำระค่าโฆษณา ดังนั้น แม้โจทก์จะมีคำขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันโฆษณาขอโทษโจทก์ในหนังสือพิมพ์ โดยมิได้มีคำขอให้โฆษณาคำพิพากษาในหนังสือพิมพ์ แต่เมื่อเป็นอำนาจของศาล การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 2 โฆษณาคำพิพากษาในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ 3 ครั้ง ภายใน 1 เดือน โดยค่าใช้จ่ายของจำเลยที่ 2 จึงไม่เป็นการพิพากษาเกินคำขออันต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคหนึ่ง อุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้นอีกเช่นกัน
มีปัญหาต้องวินิจฉัยข้อสุดท้ายตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า ไม่สมควรรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยที่ 2 หรือไม่ เห็นว่า ภายหลังจากที่หนังสือพิมพ์ไทยรัฐซึ่งจำเลยที่ 2 เป็นบรรณาธิการได้ลงพิมพ์ข้อความหมิ่นประมาทโจทก์แล้วปรากฏว่าได้มีการลงแก้ข่าวให้แก่โจทก์ในภายหลัง นับว่าเป็นการพยายามแก้ไขเยียวยาความเสียหายให้แก่โจทก์ ประกอบกับไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน กรณีมีเหตุสมควรรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยที่ 2 ที่ศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยที่ 2 นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 ประกอบมาตรา 83 ส่วนโทษให้บังคับคดีจำเลยที่ 2 ไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7

Share