คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3493/2538

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยชำระค่าขึ้นศาลตามฟ้องแย้งไม่ครบถ้วนศาลชั้นต้นสั่งให้ชำระเพิ่มเติมให้ครบถ้วนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา18เมื่อจำเลยไม่ปฏิบัติศาลชั้นต้นมีอำนาจสั่งไม่รับคำฟ้องแย้งของจำเลยได้จำเลยจะอ้างการอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นในเรื่องค่าขึ้นศาลมาเป็นเหตุไม่ชำระค่าขึ้นศาลตามคำสั่งศาลชั้นต้นไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยอาศัยอยู่ในบ้านเลขที่ 1712 ซึ่งตั้งอยู่บนที่ดินโฉนดเลขที่ 1682 อันเป็นที่ธรณีสงฆ์ของโจทก์ โจทก์ประสงค์จะปรับปรุงที่ดินของโจทก์ให้ดีขึ้น และได้รับอนุญาตจากกรมการศาสนาแล้ว จึงได้มอบอำนาจให้ทนายความบอกกล่าวให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากตึกแถวของโจทก์ แต่จำเลยเพิกเฉยขอให้บังคับจำเลยขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากตึกแถวเลขที่ 1712 ถนนเจริญกรุง แขวงยานนาวา เขตสาธร กรุงเทพมหานครและส่งมอบตึกแถวคืนให้โจทก์ในสภาพเรียบร้อย และชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์เดือนละ 5,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะออกไปจากตึกแถวของโจทก์
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า ตึกแถวเลขที่ 1712 เป็นของนางสาวประพิศ วัชราภัย ซึ่งปลูกอยู่นอกเขตโฉนดเลขที่ 1682จำเลยเช่าจากนางสาวประพิศเมื่อ พ.ศ. 2503 เมื่อครบกำหนดการเช่าจำเลยซื้อตึกแถวพร้อมที่ดินจากนางสาวประพิศในราคา 200,000 บาทและจำเลยได้ครอบครองตึกแถวเลขที่ 1712 พร้อมที่ดินมาจนได้กรรมสิทธิ์ตั้งแต่ พ.ศ. 2514 โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยเมื่อ พ.ศ. 2518 โจทก์นำที่ดินโฉนดเลขที่ 1682 ไปให้นายประจักษ์เชื้อวงศ์ประวิทย์ เช่าหาประโยชน์ นายประจักษ์ไม่มีความประสงค์จะฟ้องขับไล่ผู้อาศัยอยู่ในที่ดินแปลงนี้ ดังนั้นหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สินและบริวารจึงกระทำโดยปราศจากอำนาจและไม่มีผลทางกฎหมาย เพราะจำเลยอยู่นอกที่เช่า จึงถือว่าไม่มีการบอกกล่าวก่อนฟ้องขับไล่ ขอให้ยกฟ้อง ห้ามโจทก์หรือตัวแทนโจทก์เข้าเกี่ยวข้องกับตึกแถวห้องเลขที่ 1712 พร้อมที่ดินอีกต่อไป ให้ศาลมีคำสั่งแสดงว่าตึกแถวห้องเลขที่ 1712 พร้อมที่ดินที่ปลูกสร้างเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย ห้ามผู้ใดเข้าเกี่ยวข้อง
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า ที่ดินพิพาทเป็นธรณีสงฆ์ ผู้ใดจะยกอายุความการครอบครองมาต่อสู้กับโจทก์หาได้ไม่
ศาลชั้นต้นตรวจคำให้การและฟ้องแย้งจำเลยแล้ว เห็นว่าเป็นคดีมีทุนทรัพย์ จึงสั่งให้จำเลยคำนวณราคาตึกแถวกับที่ดินพิพาท และให้ชำระค่าขึ้นศาลภายใน 5 วัน หลังจากพ้นกำหนดแล้วจำเลยได้ขอขยายเวลาชำระค่าขึ้นศาลออกไปอีก 15 วัน แต่เมื่อพ้นกำหนดแล้วจำเลยไม่ได้นำค่าขึ้นศาลมาชำระ ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งไม่รับฟ้องแย้งของจำเลย
จำเลย อุทธรณ์ คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
จำเลย ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เห็นว่า เมื่อศาลชั้นต้นสั่งให้จำเลยคำนวณราคาตึกแถวกับที่ดินพิพาท และให้ชำระค่าขึ้นศาลภายใน 5 วันจำเลยก็ยอมรับว่าจำเลยได้ต่อสู้และฟ้องแย้งเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ตึกแถวและที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยจริง ปรากฏตามคำร้องของจำเลยลงวันที่ 29 มีนาคม 2536 ซึ่งจำเลยขอถอนคำร้องลงวันที่ 25มีนาคม 2536 ที่อ้างว่าฟ้องแย้งของจำเลยเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์เสียค่าขึ้นศาลเพียง 200 บาท จึงเป็นการยอมรับว่าฟ้องแย้งของจำเลยเป็นคดีมีทุนทรัพย์ ซึ่งจะต้องเสียค่าขึ้นศาลตามราคาตึกแถวและที่ดินพิพาท นอกจากนี้จำเลยยังยื่นคำร้องลงวันที่ 15 เมษายน2536 ขอขยายเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมตามคำสั่งศาลชั้นต้นไปอีก15 วัน โดยอ้างว่า จำเลยมีฐานะยากจน เงินที่จะนำมาวางศาลมีจำนวนสูง ศาลชั้นต้นก็อนุญาตตามคำร้อง แต่เมื่อครบกำหนดเวลาที่อนุญาตให้ขยายแล้ว จำเลยกลับไม่ยอมชำระค่าขึ้นศาลฟ้องแย้งตามคำสั่งศาลชั้นต้น โดยอ้างว่าจำเลยยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นเกี่ยวกับค่าขึ้นศาล ดังนี้ เห็นว่า เมื่อศาลชั้นต้นเห็นว่าจำเลยชำระค่าขึ้นศาลฟ้องแย้งไม่ครบถ้วน ก็เป็นเรื่องที่มีอำนาจที่จะสั่งให้ชำระเพิ่มเติมเสียให้ครบถ้วนได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18 เมื่อจำเลยมิได้ปฏิบัติตามข้อกำหนดของศาลชั้นต้นศาลชั้นต้นจึงมีอำนาจสั่งไม่รับคำฟ้องแย้งของจำเลย จำเลยจะอ้างการอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นเกี่ยวกับเรื่องค่าขึ้นศาลมาเป็นเหตุไม่ชำระค่าขึ้นศาลตามคำสั่งศาลชั้นต้นหาได้ไม่ ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว”
พิพากษายืน

Share