คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 349/2520

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่รับคำให้การของจำเลยเพราะยื่นเกินกำหนด8 วัน นับแต่วันรับหมายเรียกเป็นคำสั่งไม่รับคำคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18 จำเลยมีสิทธิยื่นอุทธรณ์คำสั่งได้ทันทีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 228(3)แต่จำเลยมิได้ยื่นอุทธรณ์ กลับยื่นคำร้องใหม่ของให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำเลยยื่นคำให้การที่ได้ยื่นไว้ ศาลชั้นต้นไต่สวน (โดยสอบข้อเท็จจริงจากทนายจำเลย)แล้วมีคำสั่งไม่อนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การ คำสั่งตอนหลังนี้ไม่ใช่คำสั่งไม่รับคำคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18 แต่เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 199 จะอุทธรณ์ให้ทันทีไม่ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2513 จำเลยเช่าห้องแถวของโจทก์เลขที่ 0643/3 อยู่ถนนบ้านนา ตลาดสัตหีบ ตำบลสัตหีบ จังหวัดชลบุรีมีกำหนด 5 ปี ครบกำหนดสัญญาเช่าวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2518 ค่าเช่าเดือนละ100 บาท ตามสำเนาสัญญาเช่าท้ายฟ้อง เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2517 ก่อนครบกำหนดเวลาตามสัญญาเช่า โจทก์มีหนังสือแจ้งให้จำเลยทราบว่า เมื่อครบกำหนดตามสัญญาแล้ว โจทก์ไม่ประสงค์ให้จำเลยเช่าต่อไป ให้จำเลยและบริวารออกจากห้องแถวของโจทก์ ครั้นครบกำหนดเวลาตามสัญญาแล้ว จำเลยและบริวารไม่ยอมออกไปจากห้องแถวของโจทก์ ทำให้โจทก์ขาดประโยชน์เดือนละ2,000 บาท และเมื่อจำเลยเข้าไปอยู่ในห้องแถวของโจทก์ จำเลยได้รื้อฝากั้นห้องซึ่งกั้นระหว่างห้องแถวของโจทก์กับห้องแถวของนางสุนีย์ ทำให้โจทก์เสียหายครึ่งหนึ่งคิดเป็นเงิน 3,000 บาท ขอให้ศาลพิพากษาและบังคับให้จำเลยและบริวารออกไปจากห้องของโจทก์ตามฟ้อง ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์เดือนละ 2,000 บาท ตั้งแต่วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2518 เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกไปจากห้องแถวของโจทก์และทำฝากั้นห้องให้อยู่ในสภาพเดิมหรือใช้ราคาเป็นเงิน 3,000 บาท

ศาลชั้นต้นส่งหมายเรียกและสำเนาฟ้องให้จำเลยครั้งแรกไม่ได้ เมื่อส่งครั้งที่ 2 ปรากฏตามรายงานของเจ้าหน้าที่และใบรับหมายเรียกว่าจำเลยได้รับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องไว้แล้วตั้งแต่วันที่ 10 พฤษภาคม 2518 ต่อมาวันที่ 21 พฤษภาคม 2518 โจทก์ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นขอให้สั่งว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ ศาลชั้นต้นสั่งว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ ให้นัดสืบพยานโจทก์และแจ้งวันนัดให้จำเลยทราบ ครั้นวันที่ 2 มิถุนายน 2518 จำเลยยื่นใบแต่ทนายความและยื่นคำให้การต่อสู้คดี ศาลชั้นต้นสั่งว่าจำเลยยื่นคำให้การเกินกำหนด 8 วันนับแต่วันรับหมายเรียก จึงไม่รับคำให้การ ในวันที่ 3มิถุนายน 2518 จำเลยยื่นคำร้องว่านายประสิทธิ์ แสงทอง นักการศาลได้ปิดหมายไว้ ณ ภูมิลำเนาของจำเลยเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2518 และได้บันทึกข้อความวันเวลาปิดหมายไว้ที่หมายเรียกคดีแพ่งสามัญให้จำเลยทราบด้วย จำเลยจึงมีสิทธิยื่นคำให้การต่อสู้คดีได้ภายใน 23 วัน ซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ 2 มิถุนายน 2518 และทนายจำเลยก็ได้ยื่นคำให้การต่อสู้คดีในวันครบกำหนดดังกล่าว จึงถือว่าจำเลยได้ยื่นคำให้การภายในเวลาที่กฎหมายกำหนด จึงขอให้ศาลมีคำสั่งให้จำเลยยื่นคำให้การที่ได้ยื่นไว้

ศาลชั้นต้นนัดไต่สวนคำร้องของจำเลย ในวันนัดทนายจำเลยแถลงว่านายประสิทธิ์นักการศาลได้ทำการปิดหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องไว้ ตามคำสั่งศาลและได้บันทึกการปิดหมายไว้ในสำเนาคำฟ้องแล้ว แต่ก่อนนายประสิทธิ์จะกลับ จำเลยกลับมาพอดีจึงลงชื่อรับหมายไว้ เมื่อจำเลยมอบสำเนาคำฟ้องให้ทนายจำเลยก็ไม่ได้บอกว่าลงชื่อรับหมายด้วยตนเอง ทนายจำเลยจึงได้ยื่นคำให้การภายใน 23 วันนับแต่วันปิดหมาย ศาลชั้นต้นงดการไต่สวนและฟังว่าจำเลยรับหมายด้วยตนเอง การที่ทนายจำเลยมายื่นคำให้การเมื่อครบกำหนด8 วันแล้ว เป็นความบกพร่องของทนายจำเลย ไม่อนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การและนัดสืบพยานโจทก์ไป

จำเลยอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้น ขอให้ศาลอุทธรณ์สั่งให้ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องของจำเลยเสียก่อนแล้วจึงมีคำสั่ง

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การครั้งหลังนี้เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226(1) พิพากษาให้ยกอุทธรณ์ของจำเลย

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่าเมื่อศาลชั้นต้นสั่งไม่รับคำให้การของจำเลยที่ยื่นเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2518 เพราะยื่นเกินกำหนด 8 วันนับแต่วันรับหมายเรียกนั้นเป็นคำสั่งไม่รับคำคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 18 ซึ่ง จำเลยมีสิทธิยื่นอุทธรณ์คำสั่งนั้นได้ทันทีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 228(3) แต่จำเลยก็มิได้ยื่นอุทธรณ์ กลับมายื่นคำร้องใหม่ขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำเลยยื่นคำให้การที่ได้ยื่นไว้ ศาลชั้นต้นไต่สวนโดยสอบข้อเท็จจริงจากทนายจำเลยแล้วเห็นว่า การที่จำเลยมายื่นคำให้การเกินกำหนดเป็นความบกพร่องของทนายจำเลย จึงมีคำสั่งไม่อนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การ คำสั่งของศาลชั้นต้นตอนหลังนี้จึงไม่ใช่คำสั่งไม่รับคำคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18 แต่เป็นคำสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 199 ซึ่งเป็นคำสั่งโดยปกติในระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้นก่อนได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดี เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา จำเลยจะอุทธรณ์ในทันทีไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226

พิพากษายืน

Share