แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
คดีนี้โจทก์ทั้งสี่บรรยายว่า โจทก์ทั้งสี่เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกับจำเลยทั้งสอง โจทก์ทั้งสี่ขอแบ่งการครอบครองที่ดินกับจำเลยทั้งสองแต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉย โจทก์ทั้งสี่มีคำขอบังคับให้จำเลยทั้งสองไปแบ่งแยก ส่วนจะแบ่งแยกอย่างไร โจทก์ทั้งสี่ก็ได้แนบแผนที่วิวาทแสดงแนวเขตที่ดินของโจทก์ทั้งสี่ ซึ่งศาลในคดีก่อนได้วินิจฉัยชี้ขาดไว้แล้วมาท้ายฟ้องและที่โจทก์ทั้งสี่อ้างถึงคำพิพากษาในคดีก่อนด้วยก็เพียงเพื่อให้ปรากฏว่าศาลในคดีก่อนได้วินิจฉัยกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทอย่างไร ฟ้องโจทก์ทั้งสี่จึงไม่เคลือบคลุม
โจทก์ทั้งสี่และจำเลยทั้งสองเป็นคู่ความในคดีก่อน คำพิพากษาในคดีดังกล่าวจึงผูกพันโจทก์ทั้งสี่และจำเลยทั้งสองตาม ป.วิ.พ. มาตรา 145 ซึ่งศาลพิพากษาคดีถึงที่สุดแล้วว่าโจทก์ทั้งสี่เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทโดยครอบครองเป็นสัดส่วน เมื่อคดีนี้โจทก์ทั้งสี่ฟ้องจำเลยทั้งสองขอให้แบ่งแยกที่ดินดังกล่าว จำเลยทั้งสองจึงไม่อาจยกข้อต่อสู้ให้เป็นอย่างอื่นได้ คงมีปัญหาต้องวินิจฉัยเพียงว่า ที่ดินพิพาทของโจทก์มีเนื้อที่เท่าใด แผนที่วิวาทในคดีก่อนของโจทก์ระบุว่ามีเนื้อที่ 2 ไร่ 2 งาน 54 ตารางวา แต่เนื้อที่ตามแผนที่วิวาท จล.1 ระบุว่า 2 ไร่ 1 งาน 88 ตารางวา ซึ่งโจทก์ลงชื่อรับรองในแผนที่วิวาทดังกล่าว จึงฟังได้ว่าที่ดินส่วนของโจทก์ทั้งสี่มีเนื้อที่ประมาณ 2 ไร่ 1 งาน 88 ตารางวา และต้องแบ่งตามแผนที่วิวาทดังกล่าว การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น โดยวินิจฉัยว่า เนื้อที่ของที่ดินส่วนของโจทก์ประมาณ 2 ไร่ 2 งาน 54 ตารางวา และให้จำเลยทั้งสองไปจดทะเบียนแบ่งแยกตามเนื้อที่ดินในคดีก่อนไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา และเนื่องจากเป็นคำพิพากษาที่เกี่ยวด้วยการชำระหนี้ไม่อาจแบ่งแยกได้จึงให้มีผลบังคับกับจำเลยที่ 2 ด้วยตาม ป.วิ.พ. มาตรา 247 ประกอบมาตรา 245 (1)
ย่อยาว
โจทก์ทั้งสี่ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสี่กับจำเลยทั้งสองมีกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินโฉนดเลขที่ 1390 เนื้อที่ 5 ไร่ 64 ตารางวา ต่อมาจำเลยทั้งสองฟ้องโจทก์ทั้งสี่ให้แบ่งแยกที่ดินดังกล่าว คดีถึงที่สุดในชั้นศาลฎีกาว่าโจทก์ทั้งสี่เป็นเจ้าของที่ดินส่วนทางด้านทิศเหนือและทิศตะวันตก เนื้อที่ 2 ไร่ 2 งาน 54 ตารางวา โจทก์ทั้งสี่กับจำเลยทั้งสองตกลงจะไปขอรังวัดแบ่งแยกที่ดินตามส่วนกรรมสิทธิ์รวมแล้ว แต่จำเลยทั้งสองบิดพลิ้วไม่ปฏิบัติตามข้อตกลง และจำเลยที่ 1 เก็บโฉนดที่ดินไว้ทำให้ไม่สามารถแบ่งแยกที่ดินได้ ขอให้พิพากษาบังคับจำเลยที่ 1 ส่งมอบโฉนดที่ดินดังกล่าวแก่โจทก์ทั้งสี่ ให้จำเลยทั้งสองไปดำเนินการขอแบ่งแยกที่ดินเฉพาะตามส่วนดังกล่าวให้แก่โจทก์ทั้งสี่ หากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา โดยจำเลยทั้งสองเสียค่าใช้จ่าย
จำเลยที่ 1 ให้การว่า ฟ้องเคลือบคลุม จำเลยที่ 1 เคยขอรังวัดแบ่งแยกที่ดินแต่โจทก์ทั้งสี่กลับนำชี้ที่ดินส่วนของโจทก์ทั้งสี่มากกว่าตามคำพิพากษาศาลฎีกาจึงตกลงกันไม่ได้ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองไปจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ 1390 ด้านทิศเหนือและทิศตะวันตกภายในรูปเส้นสีดำหมายสีเขียวประ ตามแผนที่วิวาทเอกสารหมาย จ.2 ในสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 207/2534 ของศาลชั้นต้น ให้แก่โจทก์ทั้งสี่ หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ทั้งสี่
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า โจทก์ทั้งสี่กับจำเลยทั้งสองเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินโฉนดเลขที่ 1390 ตำบลโพสังโฆ อำเภอสิงห์ (ค่ายบางระจัน) จังหวัดสิงห์บุรี เนื้อที่ 5 ไร่ 64 ตารางวา จำเลยทั้งสองฟ้องให้โจทก์ทั้งสี่แบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 207/2534 ของศาลชั้นต้น ซึ่งศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ประการแรกว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้มีลักษณะสืบเนื่องมาจากคดีก่อนที่จำเลยทั้งสองฟ้องโจทก์ทั้งสี่เป็นจำเลยขับไล่โจทก์ทั้งสี่ออกจากที่ดิน ส่วนที่จำเลยทั้งสองอ้างว่าเป็นของจำเลยทั้งสองบางส่วนคิดเป็นเนื้อที่ 100 ตารางวา โจทก์ทั้งสี่ให้การต่อสู้คดีว่าที่ดินพิพาทจำนวน 100 ตารางวาตามฟ้องของจำเลยทั้งสองนั้นเป็นที่ดินของโจทก์ทั้งสี่ คดีถึงที่สุดโดยศาลวินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทตามฟ้องเป็นของโจทก์ทั้งสี่ไม่ใช่ของจำเลยทั้งสอง โจทก์ทั้งสี่ฟ้องคดีนี้โดยอ้างถึงผลตามคำพิพากษาคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 207/2534 ของศาลชั้นต้นว่าโจทก์ทั้งสี่เป็นเจ้าของร่วมกับจำเลยทั้งสองในที่ดินโฉนดเลขที่ 1390 ตามฟ้อง โดยโจทก์ทั้งสี่ครอบครองเป็นส่วนสัดที่ดินทางด้านทิศเหนือและทิศตะวันตก ตามรูปเส้นสีดำหมายสีเขียวประในแผนที่วิวาท เนื้อที่ประมาณ 2 ไร่ โจทก์ทั้งสี่ขอแบ่งแยกที่ดินส่วนที่เป็นของโจทก์ทั้งสี่ แต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉย โจทก์ทั้งสี่แนบสำเนาคำพิพากษาศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ภาค 2 และศาลฎีกา รวมทั้งแผนที่วิวาทในคดีก่อนมาท้ายฟ้องด้วย เห็นได้ว่าคดีนี้ข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาก็คือฟ้องโจทก์ทั้งสี่ที่บรรยายว่า โจทก์ทั้งสี่เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกับจำเลยทั้งสอง โจทก์ทั้งสี่ขอแบ่งแยกการครอบครองที่ดินดังกล่าวกับจำเลยทั้งสองแต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉย โจทก์ทั้งสี่มีคำขอบังคับให้จำเลยทั้งสองไปแบ่งแยก ส่วนจะแบ่งแยกอย่างไร โจทก์ทั้งสี่ก็ได้แนบแผนที่วิวาทแสดงแนวเขตที่ดินของโจทก์ทั้งสี่ซึ่งศาลในคดีก่อนได้วินิจฉัยชี้ขาดไว้แล้วมาท้ายฟ้อง ฟ้องโจทก์ทั้งสี่จึงไม่เคลือบคลุม ที่โจทก์ทั้งสี่อ้างถึงคำพิพากษาในคดีก่อนด้วยก็เพียงเพื่อให้ปรากฏว่าศาลในคดีก่อนได้วินิจฉัยถึงกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทอย่างไร ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยมาชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 1 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยต่อไปตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ว่า จำเลยทั้งสองต้องจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินตามโฉนดที่ดินตามฟ้องให้แก่โจทก์ทั้งสี่หรือไม่ คดีนี้โจทก์ทั้งสี่และจำเลยทั้งสองเป็นคู่ความในคดีก่อน คำพิพากษาในคดีดังกล่าวจึงผูกพันโจทก์ทั้งสี่และจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 ซึ่งศาลพิพากษาคดีถึงที่สุดแล้วว่าโจทก์ทั้งสี่เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทโดยครอบครองเป็นส่วนสัดทางทิศเหนือตลอดแนวและด้านทิศตะวันตกตลอดแนว เมื่อคดีนี้โจทก์ทั้งสี่ฟ้องจำเลยทั้งสองขอให้แบ่งแยกที่ดินส่วนของโจทก์ทั้งสี่ตามที่ศาลในคดีดังกล่าวได้วินิจฉัยไว้เป็นที่สุดว่าโจทก์ทั้งสี่เป็นผู้ครอบครองที่ดินส่วนดังกล่าว จำเลยทั้งสองจึงไม่อาจยกข้อต่อสู้ให้เป็นอย่างอื่นได้ ที่จำเลยที่ 1 อ้างว่าโจทก์ทั้งสี่ครอบครองที่ดินส่วนที่พิพาทในคดีก่อนเพียง 100 ตารางวา นั้น ก็เป็นข้ออ้างของจำเลยที่ 1 ที่ยกขึ้นกล่าวอ้างในคดีก่อนเพียงเพื่อให้ศาลรับฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์ทั้งสี่ครอบครองที่ดินพิพาทจำนวน 100 ตารางวา ซึ่งศาลในคดีก่อนก็มิได้ฟังข้อเท็จจริงเช่นนั้น คงมีปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปเพียงว่า ที่ดินพิพาทที่เป็นของโจทก์ทั้งสี่มีเนื้อที่เท่าใด ข้อเท็จจริงเชื่อว่าเจ้าพนักงานที่ดินจัดทำแผนที่วิวาทตามที่โจทก์ทั้งสี่และจำเลยทั้งสองนำชี้แล้ว ซึ่งเมื่อเทียบกับแผนที่วิวาทตามเอกสารหมาย จ.2 ในคดีก่อนแล้วรูปและแนวเขตของที่ดินของโจทก์ทั้งสี่กับที่ดินของจำเลยทั้งสองและบริเวณที่ดินพิพาทตรงกัน คงมีที่แตกต่างกันคือจำนวนเนื้อที่ทั้งหมดของที่ดินของโจทก์ทั้งสี่ตามแผนที่วิวาทซึ่งตามเอกสารหมาย จ.2 ในคดีก่อนระบุว่ามีเนื้อที่ 2 ไร่ 2 งาน 54 ตารางวา แต่เนื้อที่ตามแผนที่วิวาทเอกสารหมาย จล.1 ระบุว่า 2 ไร่ 1 งาน 88 ตารางวา ซึ่งโจทก์ที่ 1 ก็ลงชื่อรับรองในแผนที่วิวาทเอกสารหมาย จล.1 จึงฟังได้ว่า ที่ดินส่วนของโจทก์ทั้งสี่มีเนื้อที่ประมาณ 2 ไร่ 1 งาน 88 ตารางวา และต้องเป็นการแบ่งตามแผนที่วิวาทเอกสารหมาย จล.1 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นโดยวินิจฉัยว่าเนื้อที่ของที่ดินส่วนของโจทก์ทั้งสี่ประมาณ 2 ไร่ 2 งาน 54 ตารางวา และให้จำเลยทั้งสองไปจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินตามฟ้องตามแผนที่วิวาทเอกสารหมาย จ.2 ในคดีก่อนนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยที่ 1 ในข้อนี้ฟังขึ้นบางส่วน และเนื่องจากเป็นคำพิพากษาเกี่ยวด้วยการชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ จึงให้มีผลบังคับแก่จำเลยที่ 2 ด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 247 ประกอบมาตรา 245 (1)”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองไปจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ 1390 ตำบลโพสังโฆ อำเภอสิงห์ (ค่ายบางระจัน) จังหวัดสิงห์บุรี ทางด้านทิศเหนือและทิศตะวันตก ภายในเส้นสีดำหมายสีชมพูตามแผนที่วิวาทเอกสารหมาย จล.1 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1