คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 348/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินและตึกแถวพิพาทโดยอ้างว่าโจทก์ซื้อมาจากเจ้าของเดิม ซึ่งให้ผู้ร้องและจำเลยอยู่อาศัย จำเลยให้การว่าเจ้าของเดิมได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายพร้อมกับมอบการครอบครองที่ดินและตึกแถวพิพาทให้ผู้ร้องแล้วจำเลยครอบครองแทนผู้ร้อง ดังนี้ คำฟ้องโจทก์และคำให้การจำเลยมีข้อโต้เถียงเป็นประเด็นพิพาทถึงสิทธิครอบครองที่ดินและตึกแถวพิพาทของผู้ร้องกับโจทก์ มีผลเสมือนหนึ่งว่าโจทก์ได้ฟ้องขับไล่ผู้ร้องอันถือได้ว่าเป็นการโต้แย้งสิทธิของผู้ร้องด้วย ผู้ร้องจึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียตามกฎหมายในผลแห่งคดีมีสิทธิร้องขอเข้าเป็นจำเลยร่วมได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57 (2)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยทั้งห้าและบริวารออกไปจากที่ดินและตึกแถวพิพาทอ้างว่าโจทก์ซื้อมาจาก ส. เจ้าของเดิมซึ่งให้นายไชยสิทธิ์ ถิระชัยวนิช ผู้ร้องและจำเลยทั้งห้าอยู่อาศัย
จำเลยให้การว่า ส. ได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินและตึกแถวพิพาทกับผู้ร้องและมอบการครอบครองให้ผู้ร้องแล้ว ต่อมาโจทก์สามีโจทก์และ ส. สมคบกันโอนที่ดินและตึกแถวพิพาทให้โจทก์ จำเลยอยู่ในที่ดินและตึกแถวพิพาทเพื่อครอบครองแทนผู้ร้อง
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเข้าเป็นจำเลยร่วมอ้างว่า ผู้ร้องเป็นผู้ครอบครองที่ดินและตึกแถวพิพาทโดย ส. ส่งมอบการครอบครองให้ตามสัญญาจะซื้อจะขาย โจทก์ สามีโจทก์และ ส. สมคบกันจดทะเบียนโอนที่ดินและตึกแถวพิพาทเป็นชื่อโจทก์ โดยโจทก์รู้อยู่แล้วว่าผู้ร้องเป็นผู้มีสิทธิที่จะจดทะเบียนโอนเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องได้ก่อน การที่โจทก์ฟ้องคดีนี้จึงถือว่าเป็นการโต้แย้งสิทธิของผู้ร้องในการครอบครองที่ดินและตึกแถวพิพาท
ศาลชั้นต้นเห็นว่า เหตุตามคำร้องที่อ้างนั้นหากมีจริงก็เป็นเรื่องที่จะต้องไปว่ากล่าวเป็นคดีเรื่องอื่นต่างหากไม่เกี่ยวกับคดีนี้ และมิใช่เป็นเรื่องที่จะมาร้องขอให้ได้รับความคุ้มครองในคดีนี้ได้ ให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นรับผู้ร้องเข้าเป็นจำเลยร่วม
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยทั้งห้าและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินและตึกแถวพิพาทโดยอ้างว่าซื้อมาจากนายสันต์เจ้าของเดิมผู้ร้องซึ่งเคยอยู่อาศัยในที่ดินและตึกแถวพิพาทได้ยอมขนย้ายออกไปแล้ว จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ที่ ๓ และที่ ๕ ให้การว่า จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ไม่ได้อยู่ในที่ดินและตึกแถวพิพาท แต่จำเลยที่ ๑ และที่ ๕ อยู่ในที่ดินและตึกแถวพิพาทเพื่อครอบครองแทนผู้ร้อง โดยที่ดินและตึกแถวพิพาทเดิมเป็นของนายสันต์ ต่อมานายสันต์ได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายกับผู้ร้องและมอบการครอบครองให้ผู้ร้องแล้ว ต่อมาโจทก์ สามีโจทก์และนายสันต์สมคบกันโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและตึกแถวพิพาทให้เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ โจทก์จึงไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินและตึกแถวพิพาทไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่ได้ ตามคำฟ้องโจทก์และคำให้การจำเลยดังกล่าวมีข้อโต้เถียงเป็นประเด็นพิพาทถึงสิทธิครอบครองที่ดินและตึกแถวพิพาทของผู้ร้องด้วย ทั้งผู้ร้องยื่นคำร้องขอเข้าเป็นจำเลยร่วมก็ได้อ้างว่าผู้ร้องเป็นผู้ครอบครองที่ดินและตึกแถวพิพาทโดยให้จำเลยครอบครองแทนทำนองเดียวกันกับที่จำเลยดังกล่าวยื่นคำให้การ นัยหนึ่งก็คือว่า โจทก์ได้ฟ้องขับไล่ผู้ร้องอันเป็นการโต้แย้งสิทธิของผู้ร้องด้วย ข้ออ้างดังที่ปรากฏในคำฟ้อง คำให้การและคำร้องของผู้ร้องดังกล่าวมานี้รวมกันพอทำให้เห็นว่ามีข้อกล่าวอ้างที่แสดงว่าผู้ร้องมีส่วนได้เสียตามกฎหมายในผลแห่งคดีตามนัยแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๕๗(๒) ผู้ร้องจึงมีสิทธิร้องขอเข้าเป็นจำเลยร่วมได้ ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้วฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share