คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1841/2524

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2519 จำเลยที่ 1 ออกเช็คโดยไม่ลงวันที่แล้วนำไปขายให้โจทก์โดยขอเวลาไว้ 3 ปี จึงให้โจทก์นำเช็คไปขึ้นเงินระหว่างนี้จำเลยที่ 1 ชำระดอกเบี้ยให้โจทก์ตลอดมาจนถึงเดือนตุลาคม2520 จึงหยุดชำระ โจทก์จึงลงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2520 ในเช็คแล้วเก็บรอไว้จนครบ 3 ปี จึงนำเช็คไปเรียกเก็บเงินเมื่อวันที่ 3มกราคม 2521 การที่โจทก์ลงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2520 ในเช็คจึงเป็นการกระทำโดยสุจริตตามข้อตกลง และเป็นกรณีจำเลยที่ 1ผิดนัดไม่ชำระหนี้ตามสัญญาขายลดเช็ค คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ
โจทก์ยื่นคำบอกกล่าวขอถอนฟ้องว่า “จำเลยที่ 5 ถึงแก่กรรมเสียแล้วโจทก์จึงขอถอนฟ้องเฉพาะจำเลยที่ 5” ดังนี้ หาใช่เป็นการแสดงความประสงค์ปลดหนี้ให้จำเลยที่ 5 ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ เป็นกรรมการบริษัทจำเลยที่ ๑จำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ได้นำเช็คลงวันที่ล่วงหน้า สั่งจ่ายเงินฉบับละหนึ่งล้านบาทมาแลกเงินจากโจทก์ ตามสัญญาขายลดเช็คท้ายฟ้องเช็ค ๒ ฉบับนี้มีจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ สลักหลังค้ำประกันเมื่อถึงกำหนดเวลาชำระเงินตามเช็ค โจทก์นำไปเรียกเก็บเงิน แต่ธนาคารปฏิเสธการจ่าย จึงขอให้บังคับจำเลยทั้งหกชำระเงินจำนวนตามเช็คพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ที่ ๓ และที่ ๔ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ ๒ ชำระเงินให้โจทก์ ๔๐๐,๐๐๐ บาท โจทก์ถอนฟ้องจำเลยที่ ๒และที่ ๕ ศาลชั้นต้นอนุญาต
จำเลยที่ ๖ ให้การว่า จำเลยที่ ๑ ได้ออกเช็คฉบับพิพาทและสลักหลังส่งมอบให้โจทก์โดยมิได้ลงวันที่ ทั้งนี้โดยโจทก์และจำเลยที่ ๑ไม่ประสงค์ให้นำเช็คพิพาทไปเรียกเก็บเงิน หากแต่มุ่งประสงค์ขอให้มีการบังคับกันตามสัญญากู้ที่โจทก์ให้จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๕ ทำสัญญาค้ำประกันไว้ จำเลยที่ ๖ ลงชื่อสลักหลังเช็คพิพาทในฐานะกรรมการบริษัทไม่ใช่ในฐานะส่วนตัว โจทก์จดวันที่อันไม่ถูกต้องแท้จริงลงในเช็คพิพาทโดยพลการ เป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๙๑๐ ฉะนั้นเมื่อนับแต่วันที่จำเลยออกเช็คให้โจทก์ถึงวันฟ้อง ฟ้องโจทก์ขาดอายุความตามมาตรา ๑๐๐๒ แล้ว
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๓ ที่ ๔ และที่ ๖ ร่วมกันใช้เงิน ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยที่ ๖ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๓ ที่ ๔ และที่ ๖ร่วมกันใช้เงิน ๑,๖๐๐,๐๐๐ บาทให้โจทก์ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ ๖ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ ๑ ได้ออกเช็คพิพาทให้โจทก์ จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ ลงชื่อเป็นผู้สลักหลัง เช็คดังกล่าวไม่ได้ลงวันที่ จำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๓ ได้ทำสัญญาขายลดเช็คให้แก่โจทก์ ตามสัญญาขายลดเช็คและสัญญาใช้เงินลงวันที่ ๑๙ ธันวาคม๒๕๑๗ จำเลยที่ ๑ ชำระดอกเบี้ยให้โจทก์เป็นรายเดือนตลอดมาจนถึงเดือนตุลาคม ๒๕๒๐ จำเลยที่ ๑ ไม่ชำระ โจทก์จึงลงวันที่ ๓๐พฤศจิกายน ๒๕๒๐ ในเช็คทั้งสองฉบับ ต่อมาวันที่ ๓ มกราคม ๒๕๒๑โจทก์นำเช็คพิพาท ๒ ฉบับไปเรียกเก็บเงิน ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน
ที่จำเลยที่ ๖ ฎีกาว่าฟ้องขาดอายุความ เห็นว่า แม้ข้อเท็จจริงเป็นเรื่องจำเลยที่ ๑ ออกเช็คโดยไม่ได้ลงวันที่ แต่ก็ได้ความจากนายสงวน ผู้ช่วยผู้จัดการบริษัทโจทก์ว่า ตอนจำเลยที่ ๓ นำเช็คของจำเลยที่ ๑ มาขาย ได้ขอเวลาไว้ ๓ ปี จึงค่อยนำเช็คไปขึ้นเงิน เพราะอยู่ระหว่างจำเลยที่ ๑ กำลังลงทุน จำเลยที่ ๑ ชำระดอกเบี้ยให้โจทก์ตลอดมาจนถึงเดือนตุลาคม ๒๕๒๐ ก็หยุดชำระเพราะจำเลยที่ ๓หลบหนี จำเลยที่ ๖ ก็นำสืบรับว่าเป็นช่วงที่เริ่มก่อสร้างโรงงานบริษัทจำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๑ ชำระดอกเบี้ยแก่โจทก์ตลอดมาจริง ดังนี้ฟังได้ว่าเหตุที่ไม่ได้ให้จำเลยที่ ๑ ลงวันที่ในเช็คเพราะมีข้อตกลงที่จำเลยที่ ๑ ขอเวลา ๓ ปี ระหว่างนั้นจำเลยที่ ๑ ชำระดอกเบี้ยให้โจทก์เมื่อจำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๓ ไม่ชำระดอกเบี้ยเดือนตุลาคม ๒๕๒๐ให้โจทก์ โจทก์จึงลงวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๒๐ ในเช็คพิพาททั้งสองฉบับแล้วเก็บรอไว้จนครบ ๓ ปี จึงนำเช็คไปเรียกเก็บเงินเมื่อวันที่ ๓มกราคม ๒๕๒๑ การที่โจทก์ลงวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๒๐ ลงในเช็คจึงเป็นการกระทำโดยสุจริตตามข้อตกลง และเป็นกรณีจำเลยที่ ๑ผิดนัดไม่ชำระหนี้ตามสัญญาขายลดเช็ค คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
จำเลยที่ ๖ ฎีกาว่า เมื่อโจทก์ถอนฟ้องจำเลยที่ ๕ เพราะจำเลยที่ ๕ตาย กรณีเป็นการปลดหนี้ตามมาตรา ๒๙๓ จำเลยที่ ๖ ย่อมได้รับประโยชน์เท่ากับหนี้ของจำเลยที่ ๕ ซึ่งโจทก์ได้ปลดให้เห็นว่า ข้อความในคำบอกกล่าวโจทก์ขอถอนฟ้องจำเลยที่ ๕ โจทก์กล่าวเพียงว่า “คดีนี้พนักงานศาลรายงานว่า จำเลยที่ ๕ ถึงแก่กรรมเสียแล้ว โจทก์จึงขอถอนฟ้องเฉพาะจำเลยที่ ๕”ดังนี้ คำบอกกล่าวของโจทก์หามีข้อความแสดงความประสงค์ปลดหนี้ให้จำเลยที่ ๕ ไม่ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การถอนฟ้องจำเลยที่ ๕ ไม่มีผลเป็นการปลดหนี้ชอบแล้ว
พิพากษายืน

Share