คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1903/2520

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ.2490 มาตรา 4(1) ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยฉบับที่ 3 พ.ศ.2501 มาตรา 3 บัญญัติว่า “อาวุธปืนหมายความรวมตลอดถึงอาวุธทุกชนิดซึ่งใช้ส่งเครื่องกระสุนปืนโดยวิธีระเบิดหรือกำลังดันของแก๊สหรืออัดลม หรือเครื่องกลไกอย่างใดซึ่งต้องอาศัยอำนาจของพลังงานและส่วนหนึ่งส่วนใดของอาวุธปืนนั้นๆ ซึ่งรัฐมนตรีเห็นว่าสำคัญและได้ระบุไว้ในกฎกระทรวง” มิได้บัญญัติว่าอาวุธปืนจะต้องใช้ยิงได้จึงจะเป็นอาวุธปืนและแม้ส่วนหนึ่งส่วนใดที่รัฐมนตรีเห็นว่าสำคัญและได้ระบุไว้ในกฎกระทรวงก็ถือว่าเป็นอาวุธปืนด้วย ดังนั้น การที่จำเลยมีปืนพกสั้นออโตเมติก ชนิดประกอบขึ้นเองขนาด .22 ไว้ในความครอบครองโดยมิได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่ แม้ปืนดังกล่าวไม่อาจใช้ยิงทำอันตรายแก่ชีวิตและวัตถุได้จำเลยก็มีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ.2490มาตรา 7 และปืนดังกล่าวเป็นอาวุธโดยสภาพ เมื่อจำเลยพาไปในเมืองและทางสาธารณะ โดยไม่มีเหตุอันสมควร จึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 ด้วย (วินิจฉัยโดยมติที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 4/2520)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยมีาวุธปืนพกสั้นออโตเมติกชนิดประกอบขึ้นเองขนาด.22 ไม่มีหมายเลขทะเบียนของนายทะเบียน ไม่อาจใช้ยิงทำอันตรายแก่ชีวิต และวัตถุได้จำนวน 1 กระบอก และมีกระสุนปืนลูกกรดขนาด .22 จำนวน 7 นัด ไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่ และจำเลยพกอาวุธปืนกับกระสุนปืนดังกล่าวไปในเมืองที่บริเวณศูนย์การค้าสยาม และในถนนพระราม 1 ทางสาธารณะโดยมีเหตุอันสมควร ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 72 (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2510 มาตรา 3 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371, 91 ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 11 ข้อ 2 ริบของกลาง

จำเลยให้การรับสารภาพ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานมีเครื่องกระสุนปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ให้ปรับ 200 บาท จำเลยรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงปรับ 100 บาท ปืนที่โจทก์ฟ้องไม่มีสภาพเป็นอาวุธปืน ให้ยกฟ้องโจทก์ฐานมีอาวุธปืนและพกพาอาวุธปืน

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิดดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 4(1) ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยฉบับที่ 3 พ.ศ. 2501 มาตรา 3 บัญญัติว่า “อาวุธปืนหมายความรวมตลอดถึงอาวุธทุกชนิดซึ่งใช้ส่งเครื่องกระสุนปืนโดยวิธีระเบิดหรือกำลังดันของแก๊สหรืออัดลม หรือเครื่องกลไกอย่างใดซึ่งต้องอาศัยอำนาจของพลังงาน และส่วนหนึ่งส่วนใดของอาวุธนั้น ๆ ซึ่งรัฐมนตรีเห็นว่าสำคัญและได้ระบุไว้ในกฎกระทรวง ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่ เห็นว่าตามตัวบทที่ยกมาดังกล่าวแล้ว มิได้บัญญัติว่าอาวุธปืนจะต้องใช้ยิงได้จึงจะเป็นอาวุธปืน และแม้ส่วนหนึ่งส่วนใดที่รัฐมนตรีเห็นว่าสำคัญและได้ระบุไว้ในกฎกระทรวงก็ถือว่าเป็นอาวุธปืนด้วย การที่จำเลยมีอาวุธปืนตามฟ้องไว้ในความครอบครอง จึงเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายดังที่โจทก์ฟ้อง

ปัญหาต่อไปมีว่า การที่จำเลยพาปืนของกลางตามฟ้องไปในเมืองและทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันสมควร จำเลยจะมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 หรือไม่ ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่าปืนของกลางเป็นปืนพกสั้นออโตเมติก ชนิดประกอบขึ้นเอง ขนาด .22 แม้ปืนดังกล่าวจะใช้ยิงไม่ได้แต่ก็เป็นอาวุธโดยสภาพ จำเลยจึงมีความผิดตามมาตรา 371 แห่งประมวลกฎหมายอาญา ตามที่โจทก์ฟ้อง

พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นว่า จำเลยมีความผิดฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 72 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิดดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2510 มาตรา 3 ให้จำคุก6 เดือน ปรับ 1,000 บาท กับมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 ให้ปรับ 100 บาท รวมเป็นโทษจำคุก 6 เดือน ปรับ 1,100 บาท จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาของศาล เป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้จำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลย 3 เดือน ปรับ 550 บาท โทษจำคุกเห็นว่าจำเลยมีอายุเพียง 19 ปี กำลังเป็นนักเรียนจึงให้รอการลงโทษจำเลยไว้มีกำหนด 2 ปี คงปรับอย่างเดียว หากจำเลยไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ริบของกลาง

Share