คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 456/2520

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ยกที่นาให้จำเลย ต่อมาโจทก์ขออาศัยทำนาเพื่อขายผลิตผลชำระหนี้ซึ่งโจทก์เป็นหนี้ผู้อื่น จำเลยไม่ยอมโจทก์ขอยืมเงิน จำเลยก็ไม่ให้ ดังนี้ เป็นเรื่องที่จำเลยไม่ช่วยเหลือโจทก์ในการชำระหนี้สินของโจทก์เท่านั้นมิใช่เป็นการที่ผู้รับบอกปัดไม่ยอมให้สิ่งของจำเป็นเลี้ยงชีวิตแก่ผู้ให้ในเวลาที่ผู้ให้ยากไร้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 531(3) จึงไม่เป็นเหตุอันจะเรียกถอนคืนการให้ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าโจทก์ได้ยกที่นาให้แก่จำเลย และให้จำเลยอาศัยอยู่ในเรือนของโจทก์ ต่อมาโจทก์ขออาศัยทำกินในที่นาดังกล่าว เพราะโจทก์มีหนี้สินมาก จำเลยไม่ยอม โจทก์ขอยืมเงิน จำเลยก็ไม่ให้ ทั้งที่จำเลยพอจะช่วยเหลือได้ นอกจากนั้นจำเลยยังได้รื้อเรือนที่โจทก์ให้อยู่อาศัยไปสร้างใหม่เป็นของตนเอง เมื่อโจทก์ห้ามจำเลยกลับด่าโจทก์และหมิ่นประมาทโจทก์ เป็นการเนรคุณ ขอให้พิพากษาให้จำเลยคืนนาและเรือนแก่โจทก์

จำเลยให้การว่า จำเลยมิได้เนรคุณหรือด่าโจทก์ โจทก์คิดจะโกงเอาที่นาคืนเพราะขณะนี้มีราคาสูง

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าโจทก์ไม่ใช่ผู้ยากไร้ การกระทำของจำเลยไม่เป็นการประพฤติเนรคุณ จำเลยไม่ต้องรับผิดเกี่ยวกับเรือนพิพาท เพราะบิดามารดาโจทก์ยกให้จำเลย พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า หนังสือยกให้มีข้อความว่า ถ้าจำเลยเนรคุณ โจทก์เอานาพิพาทคืนได้ การกระทำอย่างไรถือว่าเป็นการเนรคุณต้องเป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 531 โจทก์กล่าวอ้างประการแรกว่า จำเลยไม่ยอมให้โจทก์อาศัยทำนาพิพาทเพื่อขายผลิตผลชำระหนี้ และไม่ยอมให้โจทก์ยืมเงินนั้น เป็นเรื่องจำเลยไม่ช่วยเหลือโจทก์ในการชำระหนี้สินของโจทก์เท่านั้น มิใช่เป็นการที่ผู้รับบอกปัดไม่ยอมให้สิ่งของจำเป็นเลี้ยงชีวิตแก่ผู้ให้ในเวลาที่ผู้ยากไร้ ตามมาตรา 531(3) ไม่เป็นเหตุอันจะเรียกถอนคืนการให้ได้ ทั้งข้อเท็จจริงยังฟังได้ว่า โจทก์ยังมีทรัพย์สินอื่น ๆ อีก โจทก์จึงไม่ใช่ผู้ยากไร้ และที่โจทก์อ้างต่อไปว่า จำเลยด่าโจทก์และหมิ่นประมาทโจทก์ พยานโจทก์ก็ยังรับฟังไม่ได้เช่นนั้น

พิพากษายืน

Share