คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2298/2520

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้จำเลยจะได้เช่าช่วงนาพิพาทจากนายผลบิดาโจทก์ โดยวัดเครือวัลย์วรวิหารเจ้าของนายินยอมก็ตาม แต่เมื่อนายผลบิดาโจทก์ถึงแก่กรรมเมื่อ พ.ศ.2516 การเช่าระหว่างวัดเครือวัลย์วรวิหารกับนายผลได้ระงับลง มีผลให้การเช่าช่วงนาพิพาทของจำเลยระงับไปด้วย ขณะนายผลถึงแก่กรรมเมื่อ พ.ศ.2516 นั้น พระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ.2517 ยังมิได้ประกาศใช้บังคับจึงไม่อาจนำผลบังคับตามกฎหมายใหม่ไปใช้ได้ ครั้นโจทก์ได้เป็นผู้เช่าประจำปี พ.ศ.2517, 2518 เป็นสิทธิเฉพาะตัวของโจทก์เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยได้เช่านาพิพาทกับโจทก์ โจทก์จำเลย (ย่อม) ไม่มีนิติสัมพันธ์ต่อกันจำเลยจึงไม่ได้รับความคุ้มครองตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ.2517

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้เช่านาจำนวน ๑๗๙ ไร่เศษ จากวัดเครือวัลย์วรวิหารโดยเป็นผู้เช่าต่อจากนายผล มาฆะวงศ์ บิดาโจทก์ซึ่งถึงแก่กรรมเมื่อ พ.ศ.๒๕๑๖ เมื่อประมาณ ๕-๖ ปีมานี้ นายผลให้จำเลยอาศัยปลูกบ้านและทำนาในที่ดินที่เช่าจำนวน ๑๐ ไร่ ซึ่งจำเลยทำกินมาจนปัจจุบันจำเลยได้ทำตนเป็นปฏิปักษ์ต่อโจทก์ คือขุดบ่อเลี้ยงปลาปลูกไม้ยืนต้นโดยไม่รับอนุญาตจากโจทก์ ๆ ห้ามปรามไม่เชื่อฟัง เมื่อวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๘ จำเลยกับพวกได้บุกรุกไถนาพิพาท เนื้อที่ประมาณ ๒๐ ไร่ โจทก์ได้รับความเสียหายเข้าทำนาตามปกติไม่ได้ คิดค่าเสียหายเป็นเงินไม่น้อยกว่า ๕,๐๐๐ บาท ขอให้ศาลบังคับให้จำเลยและบริวารรื้อถอนบ้านเลขที่ ๒๘ ออกไปจากที่ดินที่โจทก์เช่า ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์เป็นเงิน ๕,๐๐๐ บาท
จำเลยให้การว่า ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมเพราะมิได้อ้างหรือส่งสัญญาเช่าที่ทำไว้กับวัดเครือวัลย์วรวิหาร จำเลยเช่านาพิพาทจำนวน ๒๕ ไร่จากนายผลบิดาโจทก์เมื่อประมาณ ๑๐ ปีมาแล้ว โดยชำระค่าเช่าให้นายผลทุกปี ทางวัดก็ทราบไม่คัดค้าน จำเลยปลูกบ้าน ขุดบ่อเลี้ยงปลา และไม้ยืนต้นในที่ดินนายผลไม่เคยห้ามปราม เมื่อ พ.ศ.๒๕๑๖ นายผลถึงแก่กรรม จำเลยได้ชำระค่าเช่าให้นายมั่นหรือม่อมบุตรนายผลซึ่งเป็นที่โจทก์ตลอดมาจำเลยได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ.๒๕๑๗ มาตรา ๕ และมาตรา ๔๖ โดยมีสิทธิเช่าทำนาต่อไปอีก ๖ ปี ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม จำเลยได้เช่าช่วงนาพิพาทจากนายผลบิดาโจทก์จำนวน ๒๕ ไร่ เมื่อครั้งนายผลเป็นผู้เช่าจากวัดครั้นโจทก์ได้เป็นผู้เช่าประจำปี พ.ศ.๒๕๑๗, ๒๕๑๘ ต่อจากนายผล ไม่ปรากฏว่าจำเลยเช่านาพิพาทต่อจากโจทก์ ถือได้ว่าโจทก์จำเลยมิได้มีนิติสัมพันธ์ต่อกันโจทก์มีสิทธิฟ้องขับไล่ เรื่องค่าเสียหายโจทก์ไม่ติดใจเรียกร้องพิพากษาให้จำเลยและบริวารรื้อถอนบ้านออกจากที่ดินของวัดเครือวัลย์วรวิหาร ห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า แม้จำเลยจะได้เช่าช่วงนาพิพาทจากนายผลบิดาโจทก์โดยวัดเครือวัลย์วรวิหารยินยอมก็ตาม แต่เมื่อนายผลบิดาโจทก์ถึงแก่กรรมเมื่อ พ.ศ.๒๕๑๖ การเช่าระว่างวัดเครือวัลย์วรวิหารกับนายผลได้ระงับลงมีผลให้การเช่าช่วงนาพิพาทของจำเลยระงับไปด้วย ขณะนายผลถึงแก่กรรมเมื่อ พ.ศ.๒๕๑๖ นั้น พระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ.๒๕๑๗ ยังมิได้ประกาศใช้บังคับ จึงไม่อาจนำผลบังคับตามกฎหมายใหม่ไปใช้ได้ ครั้นโจทก์ได้เป็นผู้เช่าประจำปี พ.ศ.๒๕๑๗, ๒๕๑๘ ตามสัญญาเช่าเอกสารหมาย จ.๒, จ.๓ เป็นสิทธิเฉพาะตัวของโจทก์ ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้เช่าพิพาทกับโจทก์เห็นได้ว่าโจทก์จำเลยไม่มีนิติสัมพันธ์ต่อกัน จำเลยจึงไม่ได้รับความคุ้มครองตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ.๒๕๑๗
พิพากษายืน

Share