คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2105/2527

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยกระทำผิดสองกรรม เรียงกระทงลงโทษข้อหาข่มขืนกระทำชำเรา จำคุก 4 ปี ข้อหาหน่วงเหนี่ยวกักขังจำคุก 6 เดือน ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานข่มขืนกระทำชำเราซึ่งเป็นบทหนัก จำคุก 4 ปี เป็นการ แก้ไขเล็กน้อย ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 จำเลยหลอกลวงผู้เสียหายไปยังสถานที่หลายแห่งจนถึงบ้านเกิดเหตุจึงกระทำการข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย หลังจากนั้นผู้เสียหายก็ถูกจำเลยขู่บังคับและกอดรัดให้อยู่กับจำเลยตลอดคืน หากกลับจะทำร้าย จนกระทั่งเช้าวันรุ่งขึ้น ผู้เสียหายจึงใช้อุบายหนีกลับบ้านได้ ดังนี้ การที่จำเลยไม่ยอมให้ผู้เสียหายกลับแล้วใช้กำลังกายกอดรัดและขู่ว่าจะทำร้ายหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้เสียหายไว้ตลอดคืนเป็นความผิดอีกกระทงหนึ่งต่างหากจากความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราซึ่งเสร็จเด็ดขาดไปแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน คือจำเลยได้หน่วงเหนี่ยวกักขังนางสาวนิตยาไว้ในบ้านพัก ทำให้ปราศจากเสรีภาพในร่างกาย แล้วจำเลยข่มขืนกระทำชำเรานางสาวนิตยาโดยใช้กำลังกายประทุษร้ายกอดปล้ำกดให้อยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276, 310, 91

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยกระทำความผิดหลายกรรมเรียงกระทงลงโทษ ฐานข่มขืนกระทำชำเราลงโทษจำคุก 4 ปี ฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังลงโทษจำคุก6 เดือน รวมโทษจำคุก 4 ปี 6 เดือน

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ต้องใช้กฎหมายบทที่โทษหนักที่สุดลงโทษจำเลย ให้ลงโทษฐานข่มขืนกระทำชำเราอันเป็นบทหนัก จำคุก 4 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์และจำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาว่ามิได้กระทำผิดตามฟ้อง และโจทก์มิได้นำนายแพทย์ผู้ตรวจผู้เสียหายมาเบิกความ จึงรับฟังใบตรวจบาดแผลของผู้เสียหายไม่ได้นั้น เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยกระทำความผิดสองกรรม เรียงกระทงลงโทษ ข้อหาข่มขืนกระทำชำเรา จำคุก 4 ปี ข้อหาหน่วงเหนี่ยวกักขังจำคุก 6 เดือน ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เพียงว่า เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานข่มขืนกระทำชำเราซึ่งเป็นบทหนักจำคุก 4 ปี เป็นการแก้ไขเล็กน้อย จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

ศาลฎีกาวินิจฉัยต่อไปว่า ผู้เสียหายติดตามจำเลยไปยังสถานที่หลายแห่งเพราะถูกจำเลยให้อุบายหลอกลวงว่าจะคืนเงินที่ยืมไปให้ ในที่สุดเมื่อถึงบ้านเกิดเหตุก็ถูกจำเลยขู่บังคับไม่ให้กลับและใช้กำลังกายทำร้ายผู้เสียหายโดยใช้มือบีบปากและอุดปากผู้เสียหาย แล้วกระทำการข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายจนสำเร็จความใคร่สองครั้ง หลังจากนั้นผู้เสียหายก็ถูกจำเลย ขู่บังคับและกอดรัดให้อยู่กับจำเลยตลอดทั้งคืน หากกลับจะทำร้าย จนกระทั่งเช้าวันรุ่งขึ้นผู้เสียหายจึงใช้อุบายหลอกจำเลยขอออกจากบ้านที่เกิดเหตุไปหาซื้ออาหารและหนีกลับบ้านได้ เห็นว่า การที่จำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย เป็นความผิดเสร็จเด็ดขาดไปแล้ว ผู้เสียหายจะกลับบ้านจำเลยไม่ยอมให้กลับ และใช้กำลังกายกอดรัดและขู่ว่าจะทำร้ายหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้เสียหายไว้ตลอดคืน ตอนเช้าจึงยอมให้ออกไปหาซื้ออาหารรับประทาน จึงเป็นการกระทำความผิดต่างหากแยกจากความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราได้อีกกระทงหนึ่ง ดังนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 1518/2522 ระหว่างพนักงานอัยการจังหวัดเพชรบูรณ์ โจทก์ นายกลิ้ง รอยสนั่น จำเลย

พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่นให้ปราศจากเสรีภาพตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 310 อีกกระทงหนึ่ง

Share