แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์กับ ส. ตกลงซื้อขายพลอยกันที่ธนาคารจำเลยที่1 สาขาขลุงต่อหน้าจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้จัดการธนาคารแล้วโจทก์รับเช็คที่ ส. สั่งจ่ายเป็นค่าซื้อพลอยรวมเป็นเงิน 450,000 บาท เช็คดังกล่าวเป็นเช็คจำเลยที่1 สาขาขลุง และลงวันที่สั่งจ่ายในวันที่ซื้อขายกันนั้นจำเลยที่ 2 รับรองว่าเช็คดังกล่าวนำเข้าบัญชีเงินฝากกระแสรายวันได้เพราะ ส. มีเงินอยู่ในบัญชีพอที่จะใช้เงินตามเช็ค แม้ความจริง ส. จะไม่มีเงินอยู่ในบัญชีแต่จำเลยที่ 2 มีอำนาจผ่านเงินทางบัญชีให้ ส. ซึ่งเป็นลูกค้าของธนาคารไปก่อนได้ โจทก์จึงมอบเช็คดังกล่าวให้จำเลยที่ 2 เพื่อเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวัน และในวันเดียวกันนั้นโจทก์ใช้เช็คสั่งจ่ายเงิน 400,000 บาท จากบัญชีเงินฝากกระแสรายวันเข้าเปิดบัญชีเงินฝากประจำ เมื่อเช็คดังกล่าวจำเลยสามารถตรวจสอบได้ทันทีว่าเรียกเก็บเงินไม่ได้ และชอบที่จะปฏิเสธการจ่ายเงินทันทีในวันนั้นแต่จำเลยไม่ได้ปฏิเสธการจ่ายถือได้ว่าเช็คดังกล่าวเรียกเก็บเงินได้ ดังนั้น การเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันของโจทก์จึงสมบูรณ์ และการที่โจทก์ใช้เช็คสั่งจ่ายเงิน 400,000 บาท จากบัญชีเงินฝากกระแสรายวันเข้าเปิดบัญชีเงินฝากประจำก็เป็นการสมบูรณ์ด้วย เมื่อจำเลยขีดฆ่ารายการที่โจทก์นำเช็คซึ่ง ส. ชำระหนี้ค่าพลอยเข้าบัญชี ออกจากบัญชีเงินฝากกระแสรายวัน และโอนเงินโจทก์จากบัญชีเงินฝากประจำไปเข้าบัญชีเงินฝากกระแสรายวันโดยพลการ เป็นการไม่ชอบ เป็นเหตุให้โจทก์ขาดเงินตามเช็คดังกล่าวไปรวม 450,000 บาทจำเลยต้องรับผิดใช้เงินจำนวนดังกล่าวให้โจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2522 โจทก์ขายพลอยแดง 1 เม็ดให้แก่นายสนิท สุริการ ในราคา 450,000 บาท โดยตกลงซื้อขายกันที่ธนาคารจำเลยที่ 1 สาขาขลุง จำเลยที่ 2 ผู้จัดการธนาคารอยู่และรู้เห็นด้วย นายสนิทชำระค่าพลอยด้วยเช็คจำเลยที่ 1 สาขาขลุง ลงวันที่ 16 ตุลาคม 2522 โจทก์ถามจำเลยที่ 2 ว่าเช็คที่นายสนิทสั่งจ่ายมีเงินในบัญชีพอจ่ายหรือไม่ จำเลยที่ 2 ว่ามีพอจ่ายโจทก์จึงขายพลอยให้นายสนิทและรับเช็คไว้ วันเดียวกันนั้นโจทก์เปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันกับจำเลยที่ 1 โดยนำเช็คของนายสนิทจำนวนเงิน 450,000 บาท ฝากเข้าบัญชี และจำเลยได้มอบสมุดเช็คให้โจทก์ไว้ และในวันเดียวกันนั้นโจทก์เปิดบัญชีเงินฝากประจำกับจำเลยที่ 1 ด้วย โดยสั่งจ่ายเช็คจากบัญชีเงินฝากกระแสรายวันจำนวนเงิน 400,000 บาทและนำเงินสดอีก 300,000 บาท ฝากเข้าบัญชี ต่อมาโจทก์ได้นำเงินสดจำนวน 60,000 บาท เข้าบัญชีเงินฝากประจำอีก และได้ถอนไปแล้ว 10,000 บาท คงเหลือเงินในบัญชีเงินฝากประจำ 750,000 บาท ต่อมาโจทก์ขอถอนเงิน 740,900 บาท จากบัญชีเงินฝากประจำ แต่จำเลยจะจ่ายให้เพียง 299,900 บาท โดยอ้างว่าเช็คของนายสนิทเรียกเก็บเงินไม่ได้ ต้องตัดยอดเงินจากบัญชีเงินฝากประจำของโจทก์ออก 450,000 บาท การกระทำของจำเลยเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย เนื่องจากเช็คของนายสนิทสามารถเรียกเก็บเงินได้ จนจำเลยรับฝากเงินไว้เรียบร้อยแล้ว ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 450,000 บาทให้โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีตั้งแต่วันที่ 4 ธันวาคม2522 จนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสองให้การว่า การซื้อขายพลอยระหว่างโจทก์กับนายสนิท สุริการ จำเลยไม่เคยเกี่ยวข้องด้วย ไม่ได้ทำกันที่ธนาคารจำเลยที่ 1 สาขาขลุงโจทก์ไม่ได้ถามจำเลยว่านายสนิทมีเงินในบัญชีพอจ่ายหรือไม่ และจำเลยที่ 2 ไม่ได้รับรองแก่โจทก์ว่านายสนิทมีเงินในบัญชีพอจ่าย ในวันที่ 16 ตุลาคม 2522โจทก์นำเช็คของนายสนิทสั่งจ่ายเงินรวม 450,000 บาท ไปขอเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันกับจำเลยที่ 1 และในวันนั้นโจทก์ขอเปิดบัญชีเงินฝากประจำด้วย โดยเบิกเงินจากบัญชีเงินฝากกระแสรายวัน 400,000 บาท และนำเงินสดอีก 300,000 บาทมาเปิดบัญชี ต่อมาปรากฏว่าเช็คที่โจทก์นำมาเข้าบัญชีไม่มีเงินในบัญชีพอจ่าย จำเลยที่ 1 ปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คดังกล่าว และโจทก์ได้รับเช็คคืนไปแล้ว โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ทั้งไม่ได้บรรยายว่าได้รับความเสียหายอย่างไร ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงินจำนวน 450,000 บาทแก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละแปดต่อปี นับแต่วันที่ 4 ธันวาคม 2522 จนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองใช้ดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยมีว่าจำเลยจะต้องรับผิดชำระเงิน 450,000 บาทให้โจทก์หรือไม่ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2522 โจทก์กับนายสนิทไปตกลงซื้อขายพลอยกันที่ธนาคารจำเลยที่ 2 สาขาขลุง ต่อหน้าจำเลยที่ 2 โจทก์รับเช็คเอกสารหมาย จ.1 และ จ.2 จากนายสนิทและสามารถนำเข้าบัญชีเงินฝากกระแสรายวันได้เพราะจำเลยที่ 2 รับรองว่านายสนิทมีเงินอยู่ในบัญชีพอที่จะใช้เงินตามเช็คดังกล่าวได้ แม้ความจริงนายสนิทจะไม่มีเงินอยู่ในบัญชี แต่จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้จัดการธนาคารจำเลยที่ 1 สาขาขลุง มีอำนาจผ่านเงินทางบัญชีให้นายสนิทซึ่งเป็นลูกค้าของธนาคารไปก่อนได้ โดยถือว่านายสนิทขอเบิกเงินเกินบัญชีชั่วคราวตามข้อตกลงในคำขอเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวัน ข้อ 10 ซึ่งจำเลยที่ 2 ก็เบิกความรับว่าเคยผ่านเงินทางบัญชีให้นายสนิทมาก่อนแล้ว ข้อที่จำเลยที่ 2 เบิกความว่า เช็คเอกสารหมาย จ.1 และ จ.2 ถูกปฏิเสธการจ่ายเงินเมื่อสิ้นวันที่ 16 ตุลาคม 2522 และธนาคารทำใบคืนเช็คแจ้งให้โจทก์ทราบตามเอกสารหมาย ล.12 แผ่นที่ 2 ที่ 3 นั้น ขัดต่อเหตุผลและแตกต่างกับคำของนายศรีพงษ์ พยานจำเลยเพราะเช็คดังกล่าวเป็นของนายสนิทซึ่งเป็นลูกค้าจำเลยที่ 1 สาขาขลุง จำเลยที่ 2 ย่อมตรวจสอบได้ทันทีว่าเช็คดังกล่าวเรียกเก็บเงินไม่ได้ ชอบที่จะปฏิเสธการจ่ายเงินทันที ไม่จำต้องรอให้สิ้นวันที่ 16 ตุลาคม 2522 และนายศรีพงษ์เบิกความว่า เมื่อทำใบคืนเช็คตามเอกสารหมาย ล.12 แผ่นที่ 2 ที่ 3 แล้ว จำเลยที่ 2 ว่ายังไม่ต้องแจ้งให้โจทก์ทราบ ข้อเท็จจริงจึงฟังได้อีกว่าจำเลยไม่ได้ปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คเอกสารหมาย จ.1และ จ.2 ในวันดังกล่าว และถือได้ว่าเช็คดังกล่าวเรียกเก็บเงินได้การเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันของโจทก์จึงสมบูรณ์ และการที่โจทก์ใช้เช็คสั่งจ่ายเงิน400,000 บาท จากบัญชีเงินฝากกระแสรายวันเข้าเปิดบัญชีเงินฝากประจำก็เป็นการสมบูรณ์เช่นกัน ข้อที่จำเลยให้การและจำเลยที่ 2 เบิกความทำนองว่า เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2523 โจทก์ถอนเงิน 749,900 บาท จากบัญชีเงินฝากประจำตามใบถอนเงินเอกสารหมาย จ.7 และนำเงินดังกล่าวฝากเข้าบัญชีเงินฝากกระแสรายวันตามใบนำฝากเงินเอกสารหมาย จ.9 โจทก์คงเหลือเงินอยู่ในบัญชีเงินฝากประจำอีกเพียง 100 บาท นั้น จำเลยที่ 2 เบิกความว่าโจทก์ขอให้โอนเงิน 749,900 บาทจากบัญชีเงินฝากประจำเข้าบัญชีเงินฝากกระแสรายวัน แต่ไม่มีหลักฐานการขอโอน คงมีแต่ใบถอนเงินเอกสารหมาย จ.7 ทั้งนายศรีพงษ์เบิกความว่า โจทก์ขอถอนเงินตามเอกสารหมาย จ.7 ธนาคารไม่ได้จ่ายเงินสดให้โจทก์ โดยทำเป็นแคชเชียร์เช็คเอกสารหมาย จ.8 เข้าโอนเงินตามแคชเชียร์เช็คดังกล่าวเข้าบัญชีเงินฝากกระแสรายวันของโจทก์การออกแคชเชียร์เช็คและโอนเงินจากบัญชีหนึ่งไปยังอีกบัญชีหนึ่งของลูกค้าต้องขอให้ธนาคารทำ ธนาคารไม่มีอำนาจทำโดยพลการ และนายธำรงพยานจำเลยอีกปากหนึ่งเบิกความว่า การโอนเงินของลูกค้าจากบัญชีหนึ่งไปยังอีกบัญชีหนึ่งต้องให้ลูกค้าเจ้าของบัญชียินยอมและมายื่นคำขอด้วย ประกอบกับจำเลยที่ 2 เบิกความตอบทนายโจทก์ว่าแคชเชียร์เช็คเอกสารหมาย จ.8 โจทก์มิได้ขอให้ออก และมิได้เสียค่าธรรมเนียมจำเลยออกให้เองตามหน้าที่ ซึ่งโจทก์เบิกความว่า จำเลยไม่จ่ายเงิน 749,900 บาท ให้โจทก์ตามใบถอนเงินเอกสารหมาย จ.7 โจทก์มิได้ยินยอมให้จำเลยโอนเงินจำนวนดังกล่าวไปเข้าบัญชีอื่นใดทั้งสิ้น แคชเชียร์เช็คเอกสารหมาย จ.8 และใบนำฝากเงินเอกสารหมาย จ.9 โจทก์ไม่ได้ขอให้จำเลยจัดทำ เข้าใจว่าจำเลยจัดทำขึ้นเอง พยานหลักฐานโจทก์จึงมีน้ำหนักดีกว่าจำเลย ข้อเท็จจริงฟังได้ตามคำโจทก์จำเลยขีดฆ่ารายการที่โจทก์นำเช็คเอกสารหมาย จ.1 และ จ.2 เข้าบัญชีออกจากบัญชีเงินฝากกระแสรายวัน และโอนเงินโจทก์จากบัญชีเงินฝากประจำไปเข้าบัญชีเงินฝากกระแสรายวันโดยพลการเป็นการไม่ชอบ และเป็นเหตุให้โจทก์ขาดเงินตามเช็คเอกสารหมาย จ.1 และ จ.2 ไปรวม 450,000 บาท จึงต้องรับผิดชดใช้เงินจำนวนดังกล่าวให้โจทก์ ฎีกาจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน