แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การพยายามกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80 นั้นเป็นความผิดแล้ว เพียงแต่ต้องระวางโทษต่ำกว่าความผิดสำเร็จเท่านั้น ฉะนั้น ความผิดที่จำเลยกระทำในคดีนี้ย่อมเป็นความผิดตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 41(8) แล้ว ถือได้ว่าจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดติดนิสัยและพิพากษาให้กักกันจำเลยได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ลักสร้อยคอทองคำ 1 สาย ซึ่งสวมอยู่ที่คอของเด็กชายชูเกียรติ พ่วงตระกูล บุตรผู้เสียหาย โดยจำเลยใช้กรรไกรตัดสร้อยนั้น แต่กระทำไปไม่ตลอด เพราะผู้เสียหายขัดขวางไว้ ก่อนคดีนี้จำเลยเคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกไม่น้อยกว่า 6 เดือนเกี่ยวกับทรัพย์มาแล้ว พ้นโทษมาไม่เกิน 3 ปี กระทำความผิดซ้ำในอนุมาตราเดียวกันอีกและจำเลยเคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกในความผิดเกี่ยวกับทรัพย์มาแล้วไม่น้อยกว่า 2 ครั้ง พ้นโทษไม่เกิน 10 ปี กระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพย์อีก เป็นผู้กระทำผิดติดนิสัย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(9), 80, 93, 41 ขอให้กักกันและริบของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(9), 80 ให้จำคุก 3 ปี เพิ่มโทษไม่เข็ดหลาบตามมาตรา93 กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 4 ปี 6 เดือน ลดรับสารภาพจำคุก 2 ปี 3 เดือนริบของกลาง เมื่อรับโทษคดีนี้แล้ว ให้กักกันมีกำหนด 3 ปี
จำเลยอุทธรณ์ว่ายังไม่ได้ลดส่วนโทษฐานพยายามให้จำเลย และความผิดของจำเลยเป็นความผิดฐานพยายามลักทรัพย์ มิได้เข้าข่ายที่จะลงโทษกักกันจำเลยได้
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกาข้อกฎหมายว่า ความผิดของจำเลยเป็นความผิดเพียงฐานพยายามยังไม่เป็นเหตุสมบูรณ์ซึ่งจะต้องกักกันตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 41
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80 วรรคสองบัญญัติว่า “ผู้ใดพยายามกระทำ ผู้นั้นต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น” จึงเห็นได้ว่าการพยายามกระทำผิดเป็นความผิดแล้ว เพียงแต่ต่องระวางโทษต่ำกว่าความผิดสำเร็จเท่านั้น ฉะนั้น ความผิดที่จำเลยกระทำในคดีนี้ย่อมเป็นความผิดตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 41(8) แล้วจึงถือได้ว่าจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดติดนิสัย และพิพากษาให้กักกันจำเลยได้
พิพากษายืน