แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยครอบครองที่พิพาทและทำเป็นสวนยางมาก่อนทางราชการตั้งนิคมสร้างตนเอง ฯ ทั้งได้แจ้งการครอบครองเมื่อ พ.ศ.2498 ตามกฎหมายแล้ว ที่พิพาทจึงหาใช่เป็นที่ป่าไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยบังอาจเข้ายึดถือครอบครองที่ดินของนิคมสร้างตนเองอำเภอแว้ง ๒๐ ไร่ เพื่อทำการก่นสร้างเผาป่าปลูกผลอาสินและปลูกบ้านเรือนโดยไม่มีสิทธิครอบครอง ไม่ได้รับอนุญาตไม่ได้รับการจัดสรรจากนิคม ฯ และวันเวลาเดียวกัน จำเลยแผ้วถางป่าในพื้นที่นั้น โดยไม่รับอนุญาต และไม่ใช่ป่าที่รัฐมนตรีได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาให้กระทำได้ ในการแผ้วถางป่าจำเลยได้ตัดฟันไม้หวงห้ามในป่า เนื้อไม้ ๒๕.๕๑ ลูกบาศก์เมตร ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา ๙, ๑๐๘ พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.๒๔๘๔ มาตรา ๑๑, ๕๔, ๗๒, ๗๓, ๗๔ ฯลฯ
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยผิดตามฟ้อง ลงโทษฐานตัดฟันไม้หวงห้าม เป็นบทหนัก จำคุก ๖ เดือน ฯลฯ
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังว่า โจทก์นำสืบไม่ได้ว่าจำเลยเข้าครอบครองถางป่าและตัดฟันไม้หวงห้ามในที่พิพาทตามวันเวลาที่โจทก์หา และน่าเชื่อฝ่ายจำเลยว่า จำเลยได้ครอบครองที่พิพาทและทำเป็นสวนยางมาก่อนทางราชการตั้งนิคมสร้างตนเองอำเภอแว้ง ทั้งได้แจ้งการครอบครองเมื่อ พ.ศ.๒๔๙๘ ตามกฎหมายแล้ว ที่พิพาทจึงหาใช่เป็นที่ป่าไม่ พิพากษายืน