คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3472/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

เมื่อลูกหนี้ถูกศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด อำนาจในการจัดการทรัพย์สินหรือการกระทำใด ๆ เกี่ยวกับทรัพย์สินหรือกิจการของลูกหนี้ ตกอยู่แก่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่ผู้เดียว ลูกหนี้หามีอำนาจดังกล่าวโดยลำพังไม่ ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483มาตรา 22 และ มาตรา 24 และการจัดการทรัพย์สินของลูกหนี้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะต้องจัดการโดยมิให้เกิดความเสียหายแก่กองทรัพย์สินของลูกหนี้ ก่อนที่จะมีประกาศกระทรวงการคลังขยายเวลายื่นรายการชำระภาษีอากรหรือนำส่งภาษีอากรตามประมวลรัษฎากร ลูกหนี้ได้ยื่นคำขอประนอมหนี้ก่อนล้มละลาย โดยระบุว่าจะชำระหนี้ตามคำขอประนอมหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ และเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้เรียกประชุมเจ้าหนี้เพื่อพิจารณาคำขอประนอมหนี้ ผลการประชุมเจ้าหนี้ยอมรับคำขอประนอมหนี้ดังกล่าว ต่อมาศาลมีคำสั่งเห็นชอบซึ่งเป็นไปตามกระบวนพิจารณาคดีล้มละลายตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 45 และมาตรา 46 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 และเป็นกระบวนพิจารณาที่ได้กระทำภายหลังจากมีประกาศกระทรวงการคลังดังกล่าวแล้ว ต่อมาลูกหนี้ก็ได้ชำระหนี้ตามคำขอประนอมหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ผู้มีอำนาจหน้าที่ในการที่จะรับชำระหนี้แทนเจ้าหนี้ภายในกำหนดเวลาแล้ว ถือเป็นการชำระหนี้ภาษีอากรที่ต้องชำระหรือนำส่งให้เจ้าหนี้ตามประกาศกระทรวงการคลังแล้ว แม้จะมิได้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์วิธีการและเงื่อนไขตามประกาศกระทรวงการคลังโดยตรงก็ตาม หรือถึงแม้จะเป็นการดำเนินการในคดีล้มละลายในขั้นตอนของการประนอมหนี้ก่อนล้มละลายก็ตาม

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองเป็นบุคคลล้มละลายศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้พิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสองเด็ดขาดเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2534 เจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ตามมูลหนี้ค่าภาษีอากรเป็นเงิน 960,748.73 บาท จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ทั้งสอง
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สอบสวนแล้ว เห็นว่า เจ้าหนี้มีสิทธิได้รับชำระหนี้ค่าภาษีอากรจำนวน 464,787.13 บาท ซึ่งลูกหนี้ที่ 1เป็นหนี้อยู่จริง และมูลหนี้เกิดก่อนวันพิทักษ์ทรัพย์ตามมาตรา 94แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 ส่วนหนี้ที่เหลือจำนวน495,961.60 บาท ซึ่งเป็นเบี้ยปรับและเงินเพิ่มนั้น ลูกหนี้ที่ 1ได้รับประโยชน์จากประกาศกระทรวงการคลัง เรื่องขยายเวลายื่นรายการการชำระภาษีอากรหรือนำส่งภาษีอากรตามประมวลรัษฎากร ลงวันที่ 28พฤศจิกายน 2534 ลูกหนี้ที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดในเงินส่วนเบี้ยปรับและเงินเพิ่มของภาษีเงินได้นิติบุคคลและภาษีการค้าที่ค้างชำระเห็นควรให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ค่าภาษีอากรจากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ทั้งสองเป็นเงิน 464,787.13 บาท ตามมาตรา 130(8) แห่งพระราชบัญญัติ ล้มละลาย พ.ศ. 2483 ส่วนที่ขอเกินมาให้ยก
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว มีคำสั่งให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ทั้งสองเป็นเงิน 464,787.13 บาทส่วนที่ขอเกินมาให้ยก
เจ้าหนี้อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
เจ้าหนี้ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่เจ้าหนี้ฎีกาว่า ลูกหนี้ทั้งสองไม่ได้รับประโยชน์ตามประกาศกระทรวงการคลังดังกล่าว ลูกหนี้ทั้งสองยังต้องรับผิดในส่วนเบี้ยปรับและเงินเพิ่มเป็นเงิน 495,961.60 บาทด้วยนั้น เห็นว่า คดีนี้มีเจ้าหนี้รายเดียวและเป็นโจทก์ยื่นฟ้องขอให้ลูกหนี้ทั้งสองเป็นบุคคลล้มละลาย เนื่องจากลูกหนี้ที่ 1ค้างชำระภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลรายเดียวกันกับที่นำมายื่นขอรับชำระหนี้นี้ เมื่อลูกหนี้ทั้งสองถูกศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด อำนาจในการจัดการทรัพย์สินหรือกระทำการใด ๆ เกี่ยวกับทรัพย์สินหรือกิจการของลูกหนี้ทั้งสองตกอยู่แก่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่ผู้เดียว ลูกหนี้ทั้งสองหามีอำนาจดังกล่าวโดยลำพังไม่ ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483มาตรา 22 และมาตรา 24 และการจัดการทรัพย์สินของลูกหนี้ทั้งสองเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะต้องจัดการโดยมิให้เกิดความเสียหายแก่กองทรัพย์สินของลูกหนี้ทั้งสอง เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2534ก่อนที่จะมีประกาศกระทรวงการคลังขยายเวลายื่นรายการการชำระภาษีอากรหรือนำส่งภาษีอากรตามประมวลรัษฎากร ลงวันที่ 28 พฤศจิกายน2534 ลูกหนี้ทั้งสองได้ยื่นคำขอประนอมหนี้ก่อนล้มละลายโดยระบุว่าจะชำระหนี้ตามคำขอประนอมหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์และเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ก็ได้เรียกประชุมเจ้าหนี้เพื่อพิจารณาคำขอประนอมหนี้ ซึ่งผลการประชุมเจ้าหนี้ก็ยอมรับคำขอประนอมหนี้ดังกล่าวของลูกหนี้ทั้งสอง ต่อมาศาลก็ได้มีคำสั่งเห็นชอบด้วยการประนอมหนี้แล้ว ซึ่งเป็นไปตามกระบวนพิจารณาคดีล้มละลายตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 45 และมาตรา 46 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 และเป็นกระบวนพิจารณาที่ได้กระทำภายหลังจากมีประกาศกระทรวงการคลังดังกล่าวแล้ว ซึ่งต่อมาลูกหนี้ทั้งสองก็ได้ชำระหนี้ตามคำขอประนอมหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ผู้มีอำนาจหน้าที่ในการที่จะรับชำระหนี้แทนเจ้าหนี้ภายในกำหนดเวลาตามประกาศกระทรวงการคลังนั้นแล้ว ถือเป็นการชำระหนี้ภาษีอากรที่ต้องชำระหรือนำส่งให้เจ้าหนี้ตามประกาศกระทรวงการคลังแล้วแม้จะมิได้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขตามประกาศกระทรวงการคลังโดยตรงก็ตาม หรือถึงแม้จะเป็นการดำเนินการในคดีล้มละลายในขั้นตอนของการประนอมหนี้ก่อนล้มละลายก็ตาม แต่การชำระหนี้ตามคำขอประนอมหนี้ซึ่งเจ้าหนี้ยอมรับภายในกำหนดของประกาศกระทรวงการคลัง ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้ค้างชำระภาษีอากรได้ชำระภาษีอากรเสียภายในกำหนดตามประกาศโดยไม่ต้องเสียเบี้ยปรับและเงินเพิ่มเพื่อที่จะได้จัดเก็บภาษีอากรเข้าสู่ระบบภาษีใหม่ได้อันตรงตามวัตถุประสงค์ของประกาศกระทรวงการคลังแล้ว และกรณีนี้จะถือเป็นภาษีอากรค้างอยู่ในศาลซึ่งจะต้องมีการถอนฟ้องก่อน ตามคำชี้แจงของกรมสรรพากรเกี่ยวกับประกาศดังกล่าว ข้อ 4(3) ยังไม่ถนัดเพราะคดีนี้เจ้าหนี้ได้นำหนี้ภาษีอากรค้างชำระซึ่งกำหนดจำนวนได้แน่นอนแล้วมาฟ้องให้ลูกหนี้ทั้งสองล้มละลาย ซึ่งเจ้าหนี้ไม่อาจถอนฟ้องได้ และลูกหนี้ทั้งสองก็ไม่อาจร้องขอให้เจ้าหนี้ถอนฟ้องได้ในขณะที่ลูกหนี้ทั้งสองถูกศาลมีคำสั่งให้พิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้ว การที่ลูกหนี้ทั้งสองวางเงินชำระหนี้ให้เจ้าหนี้ตามคำขอประนอมหนี้ภายในระยะเวลาตามประกาศกระทรวงการคลัง ลูกหนี้ทั้งสองจึงได้รับประโยชน์ตามประกาศดังกล่าวด้วย ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ลูกหนี้ทั้งสองไม่ต้องรับผิดชำระเบี้ยปรับและเงินเพิ่มนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share