คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3471/2529

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างและตัวแทนของจำเลยที่ 2 และที่ 3จำเลยที่ 2 เป็นบริษัทจำกัดมีจำเลยที่ 3 เป็นกรรมการ จำเลยที่ 1 กระทำในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ขับรถยนต์ด้วยความประมาท ล้อรถยนต์หลุดไปชนนาง ล. ถึงแก่ความตายซึ่งเป็นการละเมิดต่อโจทก์ จำเลยที่ 2 ให้การว่าจำเลยที่ 2 ไม่ได้จ้างวานหรือให้จำเลยที่ 1 ขับรถไปในที่เกิดเหตุ จำเลยที่ 1ไม่ได้ประมาทแต่ล้อรถหลุดเป็นเหตุสุดวิสัย จำเลยร่วมให้การว่าจำเลยที่ 1 ไม่ได้ขับขี่รถยนต์คันเกิดเหตุในทางการที่จ้างหรือที่ได้รับมอบหมายจากจำเลยที่ 2 ที่ 3 ดังนี้ข้อที่จำเลยที่ 2 และจำเลยร่วมฎีกาว่าจำเลยที่ 2 ให้บริษัท ก.เช่ารถคันเกิดเหตุไปก่อนเกิดเหตุ และข้อที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 ไม่ใช่ลูกจ้างและไม่ได้กระทำการในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 กับข้อที่จำเลยร่วมฎีกาว่าจำเลยที่ 1 ไม่ใช่ลูกจ้างของจำเลยที่ 2 นั้นเป็นข้อที่จำเลยที่ 2 และจำเลยร่วมมิได้ให้การไว้ จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
เหตุสุดวิสัยจะต้องเป็นเรื่องที่ไม่อาจป้องกันได้แม้จะได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแล้วก็ตาม เมื่อได้ความว่าจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์คันเกิดเหตุด้วยความเร็วสูงแล้วล้อหน้าด้านซ้ายของรถหลุดกระเด็นกระดอนไปถูกศีรษะนางล.ซึ่งอยู่ห่างไป 100 เมตร นาง ล.ได้รับอันตรายถึงแก่ความตายทันที และได้ความว่าแม้จะมีการตรวจสภาพรถแล้ว แต่ถ้าได้มีการใช้งานหนักหรือเจ้าของผู้ขับขี่รถไม่ใช้ความระมัดระวังดูแลรักษา เหตุดังกล่าวย่อมเกิดขึ้นได้ ดังนี้ ต้องถือว่าเหตุที่เกิดขึ้นเป็นเพราะความประมาทของจำเลยที่ 1 มิใช่เหตุสุดวิสัยแต่อย่างใด
การที่นาง ล.ตายลงทำให้โจทก์ซึ่งเป็นสามีและบุตรต้องขาดไร้อุปการะจากผู้ตาย จึงชอบที่จะได้รับค่าสินไหมทดแทนโดยไม่จำเป็นที่จะต้องปรากฏข้อเท็จจริงว่านาง ล.จะต้องเป็นผู้มีรายได้และโจทก์ต่างเป็นผู้ได้รับอุปการะจากผู้ตายจริง
กรมธรรม์ประกันภัย จำกัดความรับผิดของจำเลยร่วมต่อบุคคลภายนอกไว้ 25,000 บาทต่อหนึ่งคนและ 100,000 บาทต่อหนึ่งครั้ง เมื่อการกระทำละเมิดครั้งนี้มีผู้ได้รับความเสียหายเพียงหนึ่งคน จำเลยร่วมก็ต้องรับผิดต่อโจทก์เพียง 25,000 บาทข้อจำกัดความรับผิดที่ว่า 100,000 บาทต่อหนึ่งครั้งนั้นหมายความว่าถ้ามีอุบัติเหตุครั้งหนึ่งมีผู้ได้รับความเสียหายหลายคน จำเลยร่วมก็จะจำกัดความรับผิดเพียงไม่เกิน 100,000 บาท

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าโจทก์ที่ ๑ เป็นสามีของนางลาวัลณ์ จารุสิริวัฒน์ มีบุตรด้วยกัน ๔ คน คือ นายพันธุ์ศักดิ์ นางสาวนวลวรรณ เด็กชายนัฐพงศ์ และเด็กชายอำนาจซึ่งต่างเป็นผู้เยาว์ จำเลยที่ ๑ เป็นลูกจ้างและตัวแทนของจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ จำเลยที่ ๒ เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด มีจำเลยที่ ๓ เป็นกรรมการ จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ เป็นเจ้าของและผู้ครอบครองรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน ๑ บ-๖๓๗๗ เมื่อวันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๒๓ จำเลยที่ ๑ กระทำในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ได้ขับขี่รถยนต์บรรทุกคันดังกล่าวมุ่งหน้าไปทางคลองสานด้วยความเร็วสูง เมื่อถึงบริเวณปากซอยราษฎร์ร่วมเจริญ ลูกล้อรถยนต์บรรทุกคันนั้นด้านหน้าข้างซ้ายได้หลุดออกจากตัวรถแล้วกระเด็นกระดอนไปตามแรงเหวี่ยงไปถูกศีรษะนางลาวัลย์ ได้รับอันตรายจนถึงแก่ความตาย ทั้งนี้โดยความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ ๑ และจำเลยทั้งสามมิได้ตรวจตรารถให้อยู่ในสภาพดี เป็นเหตุให้เงินสดที่ติดตัวนางลาวัลย์ ๓๐,๐๐๐ บาทเศษหายไป โจทก์ที่ ๑ เสียค่าปลงศพเป็นเงิน ๓๐,๐๐๐ บาท และขาดการอุปการะจากผู้ตายเดือนละ ๑,๐๐๐ บาท คิดเพียง ๑๐ ปีเป็นเงิน ๑๒๐,๐๐๐ บาท สำหรับบุตร ๔ คนซึ่งเป็นผู้เยาว์คนละ ๗๐๐ บาทต่อเดือน คิดแต่วันละเมิดถึงวันที่บรรลุนิติภาวะรวมเป็นเงิน ๓๑๖,๕๐๐ บาท และดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันละเมิดถึงวันฟ้องคิดเพียง ๑,๐๐๐ บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๓๑๗,๕๐๐ บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินดังกล่าวพร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในจำนวนเงิน ๓๑๖,๕๐๐ บาทนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ ๑ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ ๒ ให้การว่าจำเลยที่ ๒ ไม่ได้จ้างวานหรือใช้จำเลยที่ ๑ ขับรถไปในที่เกิดเหตุ จำเลยที่ ๑ ไม่ได้ประมาทแต่เป็นเหตุสุดวิสัย รถคันเกิดเหตุเป็นรถใหม่ ได้รับการตรวจตราบำรุงรักษาตลอดเวลาและผ่านการตรวจสภาพจากกรมการขนส่งทางบกแล้ว ล้อรถหลุดเนื่องจากเพลาหัก รถดังกล่าวแล่นด้วยความเร็วปกติล้อรถวิ่งเร็วกว่าตัวรถเพราะแรงเหวี่ยง หากนางลาวัลณ์ใช้ความระมัดระวังตามปกติเพียงเอี้ยวตัวเล็กน้อยก็จะไม่ได้รับอันตราย โจทก์เรียกค่าเสียหายมากเกินความจริงนางลาวัลย์ไม่มีรายได้อะไร โจทก์จึงไม่ขาดไร้อุปการะ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๓ ให้การว่า จำเลยที่ ๓ มิใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์และไม่ได้ควบคุมรถคันเกิดเหตุ ไม่ได้จ้างวานหรือใช้จำเลยที่ ๑ ขับรถคันดังกล่าว โจทก์ไม่ได้เสียค่าใช้จ่ายตามฟ้อง โจทก์ไม่เคยได้รับอุปการะเลี้ยงดูจากนางลาวัลย์ ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ขอให้เรียกบริษัทประกันภัยไทยวิวัฒน์ จำกัด ซึ่งรับประกันภัยรถคันเกิดเหตุ เข้ามาเป็นจำเลยร่วม ศาลชั้นต้นอนุญาต
บริษัทประกันภัยไทยวิวัฒน์ จำกัด จำเลยร่วมให้การว่า โจทก์ที่ ๑ ได้หย่าร้างกับนางลาวัลย์ จึงไม่มีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหาย โจทก์ที่ ๒ ทั้งสองคนไม่ใช่บุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนางลาวัลย์ จำเลยที่ ๑ ไม่ได้ขับขี่รถยนต์คันเกิดเหตุในทางการที่จ้างหรือที่ได้รับมอบหมายจากจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ เหตุที่ล้อรถหลุดจำเลยร่วมให้การทำนองเดียวกับจำเลยที่ ๒ โจทก์เรียกค่าเสียหายมาเกินความจริง นางลาวัลย์มีเงินสดไม่เกิน ๑๐๐ บาท ค่าปลงศพไม่เกิน ๑๐,๐๐๐ บาท นางลาวัลย์ไม่ได้ประกอบอาชีพ โจทก์ทั้งสองจึงไม่ขาดไร้อุปการะ หากต้องรับผิดก็รับผิดตามเงื่อนไขในสัญญากรมธรรม์ประกันภัยไม่เกิน ๒๕,๐๐๐ บาท ค่าเสียหายไกลเกินกว่าเหตุขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๑ ขับรถโดยประมาทและไม่ตรวจตราสภาพรถให้เรียบร้อย เป็นเหตุให้ล้อหลุดชนนางลาวัลณ์ถึงแก่ความตายรถคันเกิดเหตุเป็นของจำเลยที่ ๒ แต่ให้นิติบุคคลอื่นเช่าไป และจำเลยที่ ๑ เป็นลูกจ้างของนิติบุคคลที่เช่ารถคันเกิดเหตุนั้น จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ และจำเลยร่วมจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ พิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ชำระเงิน ๑๓๐,๐๐๐ บาท และดอกเบี้ยนับแต่วันทำละเมิดถึงวันฟ้อง ๑,๐๐๐ บาท ให้จำเลยที่ ๑ ชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงินดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จกับให้จำเลยที่ ๑ ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมโดยกำหนดค่าทนายความ ๒,๐๐๐ บาทแทนโจทก์ยกฟ้องจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ค่าฤชาธรรมเนียม ค่าทนายความสมควรเป็นพับ
โจทก์ที่ ๑ ที่ ๒ อุทธรณ์ขอให้จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ และจำเลยร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๑ ตามฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ ๒ รับผิดต่อโจทก์ร่วมกับจำเลยที่ ๑ เป็นเงิน ๑๓๐,๐๐๐ บาท และให้จำเลยร่วมรับผิดเป็นเงิน ๑๐๐,๐๐๐ บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าวตั้งแต่วันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๒๓ จนกว่าจะชำระเสร็จให้จำเลยที่ ๒ และจำเลยร่วมใช้ค่าฤชาธรรมเนียมสองศาลแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความรวม ๓,๐๐๐ บาท ค่าขึ้นศาลให้ใช้เท่าที่โจทก์ชนะ ส่วนค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๓ เป็นพับ นอกจากที่แก้คงเป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ ๒ และจำเลยร่วมฎีกาขอให้ยกฟ้อง
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า จำเลยที่ ๒ และจำเลยร่วมฎีกาเป็นประการแรกว่า แม้รถยนต์คันเกิดเหตุจะเป็นของบริษัทจำเลยที่ ๒ แต่ขณะเกิดเหตุรถยนต์ไม่ได้อยู่ในความครอบครองของบริษัทจำเลยที่ ๒ เพราะบริษัทจำเลยที่ ๒ ได้ให้บริษัทสยามกว้างไพศาลมาร์เก็ตติ้ง จำกัด เช่าไปก่อนเกิดเหตุนั้นจำเลยที่ ๒ และจำเลยร่วมไม่ได้ให้การต่อสู้คดีไว้จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๒๔๙ ส่วนที่จำเลยที่ ๒ และจำเลยร่วมฎีกาว่าจำเลยได้ให้การปฏิเสธไว้ว่าจำเลยไม่ได้เป็นนายจ้างของจำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๑ ไม่ได้เป็นลูกจ้าง จำเลยย่อมนำสืบได้ว่ารถคันเกิดเหตุไม่ได้อยู่ในความครอบครองของจำเลยเพราะให้บริษัทสยามกว้างไพศาลมาร์ เก็ตติ้ง จำกัด เช่าไป ไม่เป็นการนำสืบนอกคำให้การได้ความตามคำให้การจำเลยที่ ๒ เพียงว่า จำเลยที่ ๒ ไม่ได้จ้างวานหรือใช้ให้จำเลยที่ ๑ ขับรถยนต์คันเกิดเหตุ และได้ความตามคำให้การจำเลยร่วมว่าจำเลยที่ ๑ ไม่ได้ขับรถคันเกิดเหตุไปในทางการที่ว่าจ้างหรือมอบหมายจากจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ แต่ประการใด จึงไม่ปรากฏข้อความตามคำให้การของจำเลยที่ ๒ และจำเลยร่วมดังที่จำเลยฎีกา
จำเลยที่ ๒ และจำเลยร่วมฎีกาประการต่อมาว่า จำเลยที่ ๑ ไม่ใช่ลูกจ้างและไม่ได้กระทำในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๒ จำเลยที่ ๒ และจำเลยร่วมจึงไม่ต้องรับผิดในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ในปัญหานี้จำเลยที่ ๒ ไม่ได้ให้การต่อสู้ไว้ทั้งสองกรณี ส่วนจำเลยร่วมไม่ได้ให้การต่อสู้ไว้ว่าจำเลยที่ ๑ ไม่ใช่ลูกจ้างของจำเลยที่ ๒ จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๙ แล้วศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ ๑ เป็นคนขับรถยนต์คันเกิดเหตุไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๒
จำเลยที่ ๒ และจำเลยร่วมฎีกาประการต่อมาว่าเหตุที่เกิดขึ้นเนื่องจากล้อรถคันเกิดเหตุหลุด ซึ่งเกิดจากเหตุสุดวิสัยไม่อาจป้องกันได้ ทั้งที่ผู้ขับขี่ได้ใช้ความระมัดระวังแล้ว ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า รถคันเกิดเหตุวิ่งมาด้วยความเร็วสูง เมื่อถึงที่เกิดเหตุล้อหลุดกระเด็นไปไกลถึง ๑๐๐ เมตร ถูกนางลาวัลย์ถึงแก่ความตายจำเลยที่ ๒ และจำเลยร่วมจึงไม่อาจอ้างได้ว่าผู้ขับขี่รถคันเกิดเหตุได้ใช้ความระมัดระวังแล้ว ส่วนที่จำเลยอ้างว่าเหตุเกิดจากเหตุสุดวิสัยนั้น เห็นว่าหากจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นเจ้าของรถและเป็นนายจ้างของจำเลยที่ ๑ ผู้ขับขี่รถคันเกิดเหตุได้ใช้ความระมัดระวังตรวจตราถึงความสมบูรณ์ของรถก่อนให้จำเลยที่ ๑ ใช้รถ เหตุก็ย่อมไม่เกิดขึ้น ดังนั้นเหตุที่เกิดขึ้นจึงไม่ใช่เหตุสุดวิสัยแต่อย่างใด ที่จะเป็นเหตุสุดวิสัยจะต้องเป็นเรื่องที่ไม่อาจป้องกันได้ แม้จะใช้ความระมัดระวังตามสมควรแล้วก็ตาม เหตุที่เกิดขึ้นจึงต้องถือว่าเป็นความประมาทของจำเลยที่ ๑
ส่วนค่าขาดไร้อุปการะที่จำเลยที่ ๒ และจำเลยร่วมฎีกาว่านางลาวัลย์ผู้ตายไม่มีรายได้ โจทก์จึงไม่ขาดไร้อุปการะ หากเสียหายจริงก็ไม่ควรเกิน ๑๐,๐๐๐ บาท นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๔๖๑ วรรคสอง ซึ่งตรวจชำระใหม่ บัญญัติว่า “สามีภริยาต้องช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูกันตามความสามารถและฐานะของตน” และมาตรา ๑๕๖๔ วรรคแรกบัญญัติว่า “บิดามารดาจำต้องอุปการะเลี้ยงดูและให้การศึกษาตามสมควรแก่บุตรในระหว่างที่เป็นผู้เยาว์” กับมาตรา ๔๔๓ วรรค ๓ บัญญัติว่า “ถ้าเหตุที่ตายลงนั้นทำให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดต้องขาดไร้อุปการะตามกฎหมายด้วยไซร้ ท่านว่าบุคคลนั้นชอบที่จะได้รับค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น” ตามบทบัญญัติสามมาตราดังกล่าวย่อมถือได้ว่า การที่นางลาวัลย์ตายลง ทำให้โจทก์ซึ่งเป็นสามีและบุตรต้องขาดไร้อุปการะจากผู้ตาย จึงชอบที่จะได้รับค่าสินไหมทดแทนโดยไม่จำเป็นที่จะต้องปรากฏข้อเท็จจริงว่า นางลาวัลณ์ผู้ตายจะต้องเป็นผู้มีรายได้และโจทก์ทั้งสองต่างเป็นผู้ได้รับอุปการะจากผู้ตายจริง
จำเลยร่วมฎีกาเป็นประการสุดท้ายว่า ตามกรมธรรม์ประกันภัยข้อ ๒.๑ จำกัดความรับผิดของจำเลยร่วมต่อบุคคลภายนอกไว้ ๒๕,๐๐๐ บาทต่อหนึ่งคนและ ๑๐๐,๐๐๐ บาทต่อหนึ่งครั้ง จำเลยร่วมจึงต้องรับผิดต่อโจทก์ทั้งสองเพียง ๒๕,๐๐๐ บาท เห็นว่า กรมธรรม์ประกันภัยมีข้อจำกัดความรับผิดตามที่จำเลยร่วมฎีกาดังนั้น เมื่อการกระทำละเมิดครั้งนี้ มีผู้ได้รับความเสียหายเพียงหนึ่งคน จำเลยร่วมก็ต้องรับผิดต่อโจทก์เพียง ๒๕,๐๐๐ บาท ข้อจำกัดความรับผิดที่ว่า ๑๐๐,๐๐๐ บาทต่อหนึ่งครั้ง หมายความว่าถ้ามีอุบัติเหตุครั้งหนึ่ง มีผู้ได้รับความเสียหายหลายคนจำเลยร่วมก็จะจำกัดความรับผิดเพียงไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท แต่ไม่หมายความว่าจำเลยร่วมจะต้องรับผิดจนเต็มจำนวน ๑๐๐,๐๐๐ บาทต่อหนึ่งครั้ง แม้จะมีผู้ได้รับความเสียหายเพียงคนเดียวดังเช่นในคดีนี้ ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ ๑๑๘๒/๒๕๒๖
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยร่วมร่วมรับผิดต่อโจทก์เป็นเงิน ๒๕,๐๐๐ บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในจำนวนเงินดังกล่าวตั้งแต่วันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๒๓ จนกว่าจะชำระให้โจทก์เสร็จ แต่ดอกเบี้ยที่จำเลยที่ ๒ และจำเลยร่วมต้องรับผิดต่อโจทก์นั้น นับแต่วันละเมิดถึงวันฟ้องไม่ให้เกิน ๑,๐๐๐ บาทตามที่โจทก์ขอมา ให้จำเลยที่ ๒ และจำเลยร่วมใช้ค่าทนายความในชั้นฎีกา๒,๐๐๐ บาท แทนโจทก์ทั้งสอง นอกจากที่แก้คงเป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share