แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
การที่โจทก์ได้มีหนังสือส่งทางไปรษณีย์ตอบรับทวงถามให้จำเลยทั้งสี่ชำระหนี้โจทก์แล้วสองครั้งซึ่งมีระยะเวลาห่างกันไม่น้อยกว่าสามสิบวันและจำเลยทั้งสี่ได้รับหนังสือแล้ว ไม่ชำระหนี้โจทก์ ทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสี่มีทรัพย์สินอื่นอันจะพึงยึดมาชำระหนี้โจทก์ได้กรณีจึงเข้าข้อสันนิษฐานแล้วว่าจำเลยทั้งสี่มีหนี้สินล้นพ้นตัวตามพระราชบัญญัติ ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 8(5)(9) นอกจากนี้ยังได้ความอีกว่า ว่าจำเลยเสนอขอทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อโจทก์และต่อบริษัทธนาคาร อ. ที่ฟ้องเรียกหนี้ประมาณ 800,000,000 บาทซึ่งจำเลยที่ 1 เองก็ยอมรับว่าไม่สามารถผ่อนชำระหนี้ให้แก่สถาบันการเงินได้ ดังนี้ เป็นกรณีลูกหนี้เสนอคำขอประนอมหนี้แก่เจ้าหนี้ตั้งแต่สองคนขึ้นไปตามมาตรา 8(8) แห่งพระราชบัญญัติ ล้มละลายฯ เมื่อจำเลยทั้งสี่มิได้นำสืบให้เห็นว่ามีทรัพย์สิน พอสามารถชำระหนี้ได้ทั้งหมดหรือมีเหตุอื่นที่ไม่ควรให้จำเลย ทั้งสี่ล้มละลาย ศาลจึงต้องสั่งให้พิทักษ์ทรัพย์ของจำเลย ทั้งสี่เด็ดขาด
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า จำเลยทั้งสี่เป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว ขอให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสี่เด็ดขาดและพิพากษาให้ล้มละลาย
จำเลยทั้งสี่ให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสี่เด็ดขาด
จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้วข้อเท็จจริงที่คู่ความรับกันและมิได้โต้แย้งกันฟังได้ว่าศาลแพ่งกรุงเทพใต้พิพากษาให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระหนี้โจทก์ 10,673,150.68 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปีจากต้นเงิน 10,000,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ตามคดีหมายเลขแดงที่ 9829/2539 คดีถึงที่สุดแล้วโจทก์มีหนังสือทวงถามจำเลยทั้งสี่ให้ชำระหนี้แล้วรวมสองครั้งมีระยะเวลาห่างกันไม่น้อยกว่าสามสิบวัน จำเลยทั้งสี่ได้รับหนังสือทวงถามแล้ว แต่ไม่ชำระหนี้โจทก์ มีปัญหาตามฎีกาของโจทก์ว่าจำเลยทั้งสี่มีหนี้สินล้นพ้นตัวและมีเหตุสมควรให้จำเลยทั้งสี่ล้มละลายหรือไม่ จำเลยทั้งสี่มีนายวิโรจน์ โสภี อดีตผู้จัดการทั่วไปของจำเลยที่ 1 เบิกความว่าที่ดินของจำเลยที่ 1 ตามโฉนดเอกสารหมาย ล.1 ถึง ล.4 ราคาประเมิน 38,291,250 บาท เมื่อรวมโรงงานที่จังหวัดอุบลราชธานีและที่ดินที่กรุงเทพมหานครแล้ว จำเลยที่ 1 มีทรัพย์สินประมาณ 1,000,000,000 บาท เห็นว่าพยานจำเลยทั้งสี่ปากนี้ยังเบิกความรับอีกว่าดินดังกล่าวติดจำนองธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ส่วนทรัพย์สินอื่นได้แก่ที่ดินว่างเปล่าและโรงงานของจำเลยที่ 1 นั้น ไม่ปรากฏพยานหลักฐานว่าจำเลยที่ 1 มีอยู่จริงหรือไม่อย่างไรอันจะเป็นการแสดงว่าจำเลยที่ 1 มีทรัพย์สินพอชำระหนี้ทั้งหมด นายชูชาติ เมธะวัฒน์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายกฎหมายของโจทก์และนายอนัน ลาภเอกอุดม ทนายความโจทก์เบิกความว่าโจทก์ได้มีหนังสือส่งทางไปรษณีย์ตอบรับทวงถามให้จำเลยทั้งสี่ชำระหนี้โจทก์แล้วสองครั้งซึ่งมีระยะห่างกันไม่น้อยกว่าสามสิบวันและจำเลยทั้งสี่ได้รับหนังสือแล้วไม่ชำระหนี้ให้โจทก์ โจทก์สืบหาทรัพย์สินของจำเลยทั้งสี่แล้วไม่ปรากฏว่ามีทรัพย์สินอื่นอันจะพึงยึดมาชำระหนี้โจทก์ได้ เห็นว่า กรณีเข้าข้อสันนิษฐานแล้วว่าจำเลยทั้งสี่มีหนี้สินล้นพ้นตัวตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 8(5)(9) นอกจากนี้ได้ความจากนายวิโรจน์ โสภี พยานจำเลยทั้งสี่อีกว่าฝ่ายจำเลยเสนอขอทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.1 และคดีที่บริษัทธนาคาร เอเซีย จำกัด (มหาชน) เป็นโจทก์ฟ้องเรียกหนี้ประมาณ 800,000,000 บาท จำเลยทั้งสี่ก็ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความตามเอกสารหมาย จ.4 และพยานจำเลยทั้งสี่ปากนี้ก็ยังเบิกความยอมรับว่าจำเลยที่ 1 ไม่สามารถผ่อนชำระหนี้ให้แก่สถาบันการเงินได้ ดังนี้เป็นกรณีลูกหนี้เสนอคำขอประนอมหนี้แก่เจ้าหนี้ตั้งแต่สองคนขึ้นไปตามมาตรา 8(8) แห่งพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 จำเลยทั้งสี่มิได้นำสืบให้เห็นว่ามีทรัพย์สินพอสามารถชำระหนี้ได้ทั้งหมดหรือมีเหตุอื่นที่ไม่ควรให้จำเลยทั้งสี่ล้มละลาย ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้พิทักษ์ทรัพย์ ทรัพย์ของจำเลยทั้งสี่เด็ดขาดชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษากลับเป็นว่า ให้พิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสี่เด็ดขาดตามคำสั่งของศาลชั้นต้น