คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 347/2508

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยลักทรัพย์หลายสิ่งหลายเจ้าของอยู่ในเรือลำเดียวกันและจำเลยลักไปในคราวเดียวกันนั้น ถือได้ว่าเป็นกรรมเดียวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 เมื่อโจทก์ได้ฟ้องจำเลยหาว่าลักทรัพย์ของเจ้าของหนึ่ง ศาลได้พิพากษาลงโทษจำเลยจนคดีถึงที่สุดแล้วสิทธิที่นำคดีมาฟ้องจำเลยในการกระทำของจำเลยซึ่งเป็นกรรมเดียวกันนั้นจึงระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 39(4) โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยหาว่าลักทรัพย์ของอีกเจ้าของหนึ่งซ้ำอีก

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335,337 จำเลยนี้เป็นคนคนเดียวกันกับจำเลยในคดีอาญาแดงที่ 117/07 ขอให้นับโทษต่อด้วย

จำเลยให้การว่า ได้ลักของกลางรายนี้มาพร้อมกับของกลางในคดีอาญาแดงที่ 117/2507 ซึ่งศาลจำคุกไปแล้ว 3 เดือน คู่ความไม่สืบพยาน

ตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 6 กรกฎาคม 2507 จำเลยแถลงว่าในคดีอาญาแดงที่ 117/2507 รองเท้าที่จำเลยลักไป ลักไปจากเรือประจักษ์โชค จำเลยรับสารภาพ ศาลจำคุก 3 เดือน คดีถึงที่สุดแล้วของกลางในคดีนี้เป็นของประจำเรือประจักษ์โชคลำเดียวกัน จำเลยลักไปพร้อมกับรองเท้าที่กล่าวแล้ว เป็นการกระทำครั้งเดียวกัน

โจทก์แถลงว่า โจทก์ไม่มีพยานรู้เห็นว่าจำเลยลักทรัพย์รองเท้าที่จำเลยลักในคดีก่อนกับของกลางในคดีนี้เป็นของคนละเจ้าของ จับของกลางได้คนละแห่ง ต่างกรรมต่างวาระกัน

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า แม้ของกลางทั้งสองคดีเป้นของสองเจ้าของการกระทำของจำเลยเป็นครั้งเดียว กรรมเดียว คดีนี้จึงเป็นการฟ้องซ้ำกับคดีอาญาแดงที่ 117/2507 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(4)พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามที่โจทก์จำเลยแถลงตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 6 กรกฎาคม 2507 และตามที่โจทก์ฎีกาว่า เมื่อระหว่างวันที่ 3 พฤษภาคม 2507 เวลากลางวัน ถึงวันที่ 7 พฤษภาคม 2507 เวลากลางคืนก่อนเที่ยง จำเลยนี้ได้บังอาจลักรองเท้าหนัง 1 คู่ ราคา 100 บาท ของนายเสนอ สุขยิ่งเจริญและลักเข็มทิศ 1 อัน ราคา 500 บาท สปอร์ทไลท์ 1 ดวง ราคา 150 บาท ของนายวิรัชทรงประจักษ์กุลไปในคราวเดียวกันด้วย เพราะสิ่งของที่ลักอยู่ในเรือลำเดียวกัน ต่อมาเจ้าพนักงานจับรองเท้าที่จำเลยลักไปได้จากนายชาญซึ่งจำเลยเอาไปขายไว้ให้ และฟ้องจำเลยต่อศาล คดีถึงที่สุด ต่อมาเจ้าพนักงานจับของกลางในคดีนี้ได้จากบุคคลอื่นอีก 2 คนซึ่งจำเลยนำเอาไปฝากไว้ คนละวันกัน โจทก์จึงแยกฟ้องเป็น 2 คดี เพราะสองเจ้าของ จึงปรากฏเป็นสำนวนนี้ขึ้นอีกสำนวนหนึ่ง ปัญหามีว่า สิทธินำคดีมาฟ้องของโจทก์ได้ระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(4) ที่บัญญัติไว้ว่า เมื่อมีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้องแล้วหรือไม่เห็นว่า การที่จำเลยลักทรัพย์หลายสิ่งหลายเจ้าของอยู่ในเรือลำเดียวกันและในคราวเดียวกัน ถือได้ว่าการลักทรัพย์เหล่านั้น เป็นกรรมเดียวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จะถือว่าเป็นหลายกรรม เพราะเป็นทรัพย์หลายเจ้าของ และจับของกลางได้คนละแห่งคนละวันกันก็ไม่ได้ สิทธิที่นำคดีมาฟ้องจำเลยในการกระทำของจำเลยซึ่งเป็นกรรมเดียวกันนั้นจึงระงับไป เพราะมีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้องตามบทบัญญัติของกฎหมายซึ่งได้กล่าวแล้วโจทก์ไม่มีสิทธิที่จะฟ้องจำเลยซ้ำอีก พิพากษายืน

Share