คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3465/2532

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้เสียหายกับจำเลยรับใคร่ ชอบพอกันมาก่อน ผู้เสียหายได้ไปหาจำเลย และเป็นฝ่ายชักชวนให้จำเลยซึ่งยังไม่มีภริยาพาผู้เสียหายไปจำเลยจึงพาผู้เสียหายไปที่บ้านบิดามารดาของจำเลยเพื่ออยู่กินกันฉันสามีภริยา ดังนี้ การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานพรากผู้เยาว์เพื่อการอนาจาร

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยพรากผู้เสียหายอายุไม่เกินสิบป้าปีไปจากมารดาโดยปราศจากเหตุอันสมควรและเพื่อการอนาจาร และจำเลยได้กระทำชำเราผู้เสียหายจนสำเร็จความใคร่ 3 ครั้ง โดยผู้เสียหายยินยอม ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 277, 317
จำเลยให้การรับสารภาพ
ระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในส่วนแพ่งอนุญาตให้ผู้เสียหายกับจำเลยสมรสกันได้
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277,317, 91 แต่ความผิดฐานกระทำชำเรา จำเลยไม่ต้องรับโทษตามมาตรา 277 วรรคท้ายลงโทษฐานพรากผู้เยาว์อายุไม่เกินสิบป้าปีเพื่อการอนาจาร จำคุก 5 ปี ลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงจำคุก 2 ปี 6 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ทุกข้อหา
โจทก์ฎีกาว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 317
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ผู้เสียหายกับจำเลยอยู่บ้านใกล้กันและรักใคร่ชอบพอกันมาก่อนวันเกิดเหตุผู้เสียหายไปหาจำเลยที่ร้านอาหารที่จำเลยทำงานอยู่ แล้วผู้เสียหายได้ชักชวนจำเลยไปที่บ้านลุงของผู้เสียหาย ต่อมาผู้เสียหายกลัวลุงจะดุจึงตัดสินใจไม่ไป ผู้เสียหายและจำเลยได้พากันขึ้นรถไปที่บ้านบิดามารดาของจำเลยแล้วสมัครใจร่วมประเวณีกันสองครั้งโดยประสงค์จะอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยา เห็นว่าข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นเรื่องที่ผู้เสียหายเป็นฝ่ายชักชวนให้จำเลยพาผู้เสียหายไปเอง และจำเลยก็พาผู้เสียหายไปอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยา ดังนี้ การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานพรากผู้เยาว์เพื่อการอนาจารตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 แม้จำเลยให้การรับสารภาพในความผิดนี้ก็ลงโทษไม่ได้ ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share