แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์จำเลยต่างถูกพนักงานอัยการประจำศาลแขวงอุดรธานีฟ้องหาว่าโจทก์จำเลยทะเลาะวิวาททำร้ายร่างกายซึ่งกันและกัน ศาลพิพากษาว่าโจทก์จำเลยต่างมีความผิดฐานทำร้ายร่างกายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 คดีถึงที่สุด โจทก์จำเลยต่างมาฟ้องและฟ้องแย้งว่าอีกฝ่ายหนึ่งกระทำละเมิดให้ใช้ค่าเสียหายที่ต่างถูกทำร้ายเป็นคดีนี้ จึงเป็นการฟ้องคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่ง ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา
โจทก์จำเลยได้ทะเลาะวิวาททำร้ายร่างกายซึ่งกันและกัน เป็นกรณีที่โจทก์จำเลยต่างสมัครใจเข้าเสี่ยงภัยยอมรับอันตรายหรือความเสียหายที่อาจจะเกิดมีขึ้นแก่ตนจากการทำร้ายกันนั้น การที่โจทก์ทำร้ายร่างกายจำเลยและจำเลยทำร้ายร่างกายโจทก์จนต่างได้รับบาดเจ็บด้วยกัน จึงถือไม่ได้ว่าเป็นการละเมิดต่อกันโจทก์จำเลยจึงต่างไม่จำต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพราะเหตุที่ต่างทำให้ได้รับบาดเจ็บซึ่งกันและกัน โจทก์และจำเลยจึงไม่มีอำนาจฟ้องและฟ้องแย้ง
เรื่องอำนาจฟ้องเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ปัญหานี้ไม่เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาชอบที่จะยกขึ้นวินิจฉัยได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2524 จำเลยทำร้ายโจทก์จนได้รับอันตรายแก่กายและจิตใจ ขอให้บังคับจำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ 15,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2524 โจทก์ทำร้ายจำเลยจนได้รับอันตรายแก่กายโจทก์ไม่ได้รับบาดเจ็บดังฟ้อง ขอให้บังคับโจทก์ให้ใช้ค่าเสียหายแก่จำเลย 7,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยและให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า ฟ้องแย้งของจำเลยขาดอายุความ ฟ้องแย้งเคลือบคลุม จำเลยเสียหายไม่เกิน 100 บาท ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ใช้เงินให้จำเลย 300 บาท พร้อมดอกเบี้ย
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์จำเลยต่างถูกพนักงานอัยการประจำศาลแขวงอุดรธานี เป็นโจทก์ฟ้องหาว่าโจทก์จำเลยทะเลาะวิวาททำร้ายร่างกายซึ่งกันและกัน ศาลพิพากษาว่าโจทก์จำเลยต่างมีความผิดฐานทำร้ายร่างกายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 คดีถึงที่สุดไปแล้วตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 585, 1174/2524 ของศาลแขวงอุดรธานี แล้วโจทก์จำเลยต่างมาฟ้องและฟ้องแย้งว่าอีกฝ่ายกระทำละเมิดให้ใช้ค่าเสียหายที่ต่างถูกทำร้ายเป็นคดีนี้ จึงเป็นการฟ้องคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 บัญญัติไว้ว่า “ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่ง ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา” ดังนี้ เมื่อคำพิพากษาในคดีอาญาดังกล่าว ฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์จำเลยได้ทะเลาะวิวาททำร้ายร่างกายซึ่งกันและกัน จึงเป็นการที่โจทก์จำเลยสมัครใจเข้าวิวาททำร้ายร่างกายซึ่งกันและกัน เป็นกรณีที่โจทก์จำเลยต่างสมัครใจเข้าเสี่ยงภัยยอมรับอันตรายหรือความเสียหายที่อาจจะเกิดมีขึ้นแก่ตนจากการทำร้ายกันนั้น การที่โจทก์ทำร้ายร่างกายจำเลยและจำเลยทำร้ายร่างกายโจทก์ จนต่างได้รับบาดเจ็บด้วยกัน จึงถือไม่ได้ว่าเป็นการทำละเมิดต่อกัน โจทก์จำเลยจึงต่างไม่จำต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพราะเหตุที่ต่างทำให้ได้รับบาดเจ็บซึ่งกันและกัน โจทก์และจำเลยจึงไม่มีอำนาจฟ้องและฟ้องแย้ง แม้ปัญหานี้ไม่เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ แต่เรื่องอำนาจฟ้องเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาชอบที่จะยกขึ้นวินิจฉัยได้
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์และฟ้องแย้งจำเลย