แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้จำเลยให้การรับสารภาพในส่วนความผิดฐานเข้ามาในราชอาณาจักรโดยมิได้ผ่านช่องทางที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด และมิได้ผ่านการตรวจอนุญาต กับฐานเป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาตตามคำฟ้องซึ่งศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยนั้น ปรากฏว่าในชั้นพิจารณาของศาลชั้นต้น จำเลยนำสืบปฏิเสธว่า จำเลยมิได้กระทำความผิดสองกระทงนี้ และในชั้นอุทธรณ์จำเลยยังได้อุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นมาด้วยว่า โจทก์เป็นผู้กล่าวหาจำเลย แต่โจทก์ไม่ได้พิสูจน์ว่าจำเลยได้กระทำความผิดสองกระทงนี้แต่อย่างใด ส่วนจำเลยมีพยานหลักฐานตามเอกสารหมาย ล. 1 ถึง ล. 3 มาพิสูจน์ให้เห็นว่า จำเลยมิได้กระทำความผิดสองกระทงนี้ดังที่โจทก์ฟ้องและขอให้ศาลอุทธรณ์ภาค 5 ยกฟ้องโจทก์สำหรับความผิดสองกระทงนี้ด้วย แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 มีคำพิพากษาโดยผิดหลงไปว่าจำเลยมิได้อุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นในความผิดสองกระทงนี้ด้วย และพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำเลยในความผิดสองกระทงนี้ โดยมิได้วินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยดังกล่าว จึงเป็นการมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามกระบวนพิจารณา ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยจะมิได้ยกขึ้นฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ และพิพากษาให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 5 ทำการพิจารณาและพิพากษาใหม่สำหรับความผิดสองกระทงดังกล่าว ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 208 (2) ประกอบมาตรา 225
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 65, 66,102 พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 11, 12, 18, 62, 81 ป.อ. มาตรา 32, 33, 91 ริบเมทแอมเฟตามีน ฟักทอง ถุงปุ๋ย และรถจักรยานยนต์ของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพความผิดฐานเข้ามาในราชอาณาจักรโดยมิได้ผ่านช่องทางที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด และมิได้ผ่านการตรวจอนุญาต ฐานเป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต และฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตามคำฟ้องข้อ (ก) (ข) และ (ง) แต่ให้การปฏิเสธความผิดฐานนำเมทแอมเฟตามีนเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่ายตามคำฟ้องข้อ (ค)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 มาตรา 11, 12 (1) (ที่ถูกไม่ต้องปรับบทมาตรา 12 (1) มาด้วย), 18 วรรคสอง, 62 วรรคหนึ่ง, 81 พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคสอง, 65 วรรคสอง, 66 วรรคหนึ่ง
จำเลยอุทธรณ์ขอให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับความผิดฐานเข้ามาในราชอาณาจักรโดยมิได้ผ่านช่องทางที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด และมิได้ผ่านการตรวจอนุญาต ฐานเป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาตและฐานนำเมทแอมเฟตามีนเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่าย และขอให้ลงโทษจำเลยในสถานเบา สำหรับความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคสอง (เดิม), 66 วรรคหนึ่ง (เดิม) จำคุก 24 ปี ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตาม ป.อ. มาตรา 78 คงจำคุก 12 ปี เมื่อรวมกับโทษกระทงอื่นตามที่ศาลชั้นต้นกำหนดแล้ว คงจำคุกรวม 12 ปี 4 เดือน (ที่ถูกต้องพิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับความผิดฐานนำเมทแอมเฟตามีนเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่ายตามคำฟ้องข้อ (ค) มาด้วย) นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา ขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานนำเมทแอมเฟตามีนเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่ายตามคำฟ้องข้อ (ค) ด้วย
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า จำเลยเป็นคนต่างด้าวเชื้อชาติไทยใหญ่ สัญชาติพม่า เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2543 เวลา 21.30 นาฬิกา ขณะที่ร้อยตำรวจเอกปรัชญาเจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจภูธรตำบลป่าแป๋ กับพวกตั้งด่านตรวจอยู่ที่บริเวณจุดตรวจตู้ยามแม่แสะ ถนนสายแม่มาลัย – ปาย ตำบลป่าแป๋ อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ พบจำเลยขับรถจักรยานยนต์ของกลางตามคำฟ้องผ่านมาที่ด่านตรวจจึงขอตรวจค้น ผลการตรวจค้นพบเมทแอมเฟตามีนจำนวน 2,000 เม็ด ซุกซ่อนอยู่ในผลฟักทองของกลางซึ่งเจาะเป็นช่องโดยผลฟักทองดังกล่าวบรรจุอยู่ในถุงปุ๋ยของกลางซึ่งวางอยู่บริเวณระหว่างขาทั้งสองข้างของจำเลยที่นั่งอยู่บนรถจักรยานยนต์ของกลาง สำหรับความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ซึ่งศาลล่างทั้งสองพิพากษาต้องกันมาว่าจำเลยได้กระทำความผิดจริงตามคำฟ้องนั้น คู่ความมิได้ฎีกา ความผิดฐานนี้จึงเป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 แล้ว ส่วนความผิดฐานเข้ามาในราชอาณาจักรโดยมิได้ผ่านช่องทางที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด และมิได้ผ่านการตรวจอนุญาต กับฐานเป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยหลังจากลดโทษแล้ว ให้จำคุก 3 เดือน และ 1 เดือน ตามลำดับนั้น ปรากฏว่าในชั้นพิจารณาของศาลชั้นต้น แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพในความผิดสองกระทงนี้ แต่ในชั้นพิจารณาจำเลยก็ได้นำสืบปฏิเสธว่า จำเลยมิได้กระทำความผิดสองกระทงนี้ และในชั้นอุทธรณ์นอกจากจำเลยจะอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่า จำเลยมิได้กระทำความผิดฐานนำเมทแอมเฟตามีนเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่ายแล้ว จำเลยยังได้อุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นมาด้วยว่า โจทก์เป็นผู้กล่าวหาจำเลย แต่โจทก์ไม่ได้พิสูจน์ว่าจำเลยได้กระทำความผิดสองกระทงนี้แต่อย่างใด ส่วนจำเลยมีพยานหลักฐานตามเอกสารหมาย ล. 1 ถึง ล. 3 มาพิสูจน์ให้เห็นว่า จำเลยมิได้กระทำความผิดสองกระทงนี้ดังที่โจทก์ฟ้องและขอให้ศาลอุทธรณ์ภาค 5 ยกฟ้องโจทก์สำหรับความผิดสองกระทงนี้ด้วย แต่ปรากฏว่าศาลอุทธรณ์ภาค 5 มีคำพิพากษาโดยผิดหลงไปว่าจำเลยมิได้อุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นในความผิดสองกระทงนี้ด้วย และพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำเลยในความผิดสองกระทงนี้ โดยมิได้วินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยดังกล่าว จึงเป็นการมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามกระบวนพิจารณา ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยจะมิได้ยกขึ้นฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ และเห็นเป็นการจำเป็นให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 5 ทำการพิจารณาและพิพากษาใหม่สำหรับความผิดสองกระทงนี้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 208 (2) ประกอบมาตรา 225 เสียก่อน
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 เฉพาะส่วนที่พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานเข้ามาในราชอาณาจักรโดยมิได้ผ่านช่องทางที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด และมิได้ผ่านการตรวจอนุญาต กับฐานเป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาตตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 มาตรา 11, 18 วรรคสอง, 62 วรรคหนึ่ง, 81 ตามคำฟ้อง ข้อ (ก) และ (ข) และให้ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิจารณาและพิพากษาใหม่สำหรับความผิดทั้งสองกระทงดังกล่าวตามอุทธรณ์ของจำเลยให้ถูกต้อง เสร็จแล้วจึงให้ศาลชั้นต้นส่งสำนวนคืนมายังศาลฎีกาเพื่อพิจารณาพิพากษาฎีกาของโจทก์ฉบับลงวันที่ 29 เมษายน 2547 รวมทั้งฎีกาฉบับอื่นของคู่ความ (ถ้ามี) ต่อไป