แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสามรับผิดตามสัญญากู้และสัญญาค้ำประกันท้ายฟ้อง จำเลยทั้งสามให้การว่าจำเลยทั้งสามไม่เคยทำสัญญากู้และสัญญาค้ำประกันสัญญากู้และสัญญาค้ำประกันที่โจทก์นำมาฟ้องเป็นสัญญาที่โจทก์กับพวกร่วมกันปลอมขึ้นดังนี้คำให้การของจำเลยทั้งสามเป็นการต่อสู้ว่าสัญญาดังกล่าวเป็นสัญญาปลอมเป็นสำคัญข้อที่ว่าจำเลยทั้งสามไม่เคยทำสัญญากับโจทก์ไม่ทำให้เปลี่ยนประเด็นเป็นอย่างอื่น เมื่อจำเลยทั้งสามไม่อ้างเหตุว่าปลอมอย่างไร จึงเป็นคำให้การที่มิได้ให้เหตุผลแห่งการปฎิเสธโดยชัดแจ้ง ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา177 วรรคสอง จำเลยทั้งสามจึงไม่มีสิทธินำพยานหลักฐานเข้าสืบตามข้อต่อสู้นั้น
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 กู้ยืมเงินโจทก์ไปโดยจำเลยที่ 3 ค้ำประกันการชำระหนี้ของจำเลยที่ 1 และที่ 2ต่อมาจำเลยทั้งสามผิดนัดชำระหนี้ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน 125,987.50 บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสามให้การว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่เคยทำสัญญากู้เงินไว้แก่โจทก์ สัญญากู้เงินที่โจทก์นำมาฟ้องเป็นสัญญากู้เงินที่โจทก์กับพวกร่วมกันปลอมขึ้น จำเลยที่ 3 ไม่เคยทำสัญญาค้ำประกันไว้แก่โจทก์ สัญญาค้ำประกันที่โจทก์นำมาฟ้องเป็นสัญญาที่โจทก์กับพวกร่วมกันปลอมขึ้น ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระหนี้ตามฟ้อง
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งงดการสืบพยานของจำเลยทั้งสาม
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาสืบพยานจำเลยทั้งสามแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คำให้การของจำเลยทั้งสามต่อสู้ว่าสัญญากู้เงินและสัญญาค้ำประกันเป็นเอกสารปลอมเป็นสำคัญข้อที่ว่าจำเลยทั้งสามไม่เคยทำสัญญาตามฟ้องกับโจทก์ไม่ทำให้เปลี่ยนประเด็นเป็นอย่างอื่น แต่การที่จำเลยทั้งสามให้การว่าสัญญาทั้งสองฉบับเป็นเอกสารปลอมโดยไม่อ้างเหตุว่าปลอมอย่างไรนั้นเป็นคำให้การที่มิได้ให้เหตุผลแห่งการปฎิเสธโดยชัดแจ้งจึงเป็นคำให้การที่ไม่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 177 วรรคสอง จำเลยทั้งสามจึงไม่มีสิทธินำพยานหลักฐานเข้านำสืบตามข้อต่อสู้นั้น เมื่อโจทก์สืบพยานเสร็จสิ้นแล้วการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานของจำเลยทั้งสามจึงชอบแล้ว
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น