คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3463/2536

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่โจทก์ถูกประเมินภาษีการค้าแล้ว มิได้นำพยานหลักฐานไปแสดงต่อเจ้าพนักงานประเมิน หรือคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ยังสามารถนำมาแสดงในชั้นศาลได้ภายใต้ ป.วิ.พ. และกฎหมายอื่นที่ว่าด้วยการรับฟังพยานหลักฐานเนื่องจากไม่มีบทกฎหมายใดบัญญัติตัดสิทธิได้ แม้เอกสารที่โจทก์อ้างส่งต่อศาลเป็นเพียงสำเนาที่ไม่มีพยานเบิกความรับรองก็ตาม แต่ต้นฉบับเอกสารดังกล่าวก็อยู่ในความครอบครองของจำเลยและจำเลยไม่ได้คัดค้านว่าเอกสารนั้นไม่มีต้นฉบับหรือต้นฉบับปลอมหรือสำเนาไม่ถูกต้องจึงต้องห้ามมิให้คัดค้านการมีอยู่และความแท้จริงของเอกสารหรือความถูกต้องของสำเนาเอกสาร ศาลรับฟังเป็นพยานได้ เมื่อตามพยานหลักฐานฟังได้ว่า ภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลที่จำเลยประเมินเพิ่มเติมนั้นเป็นการประเมินในดอกเบี้ยที่โจทก์ได้รับมาจากบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ที่มีการหักภาษี ณ ที่จ่ายไว้แล้ว ย่อมเป็นการประเมินที่ไม่ชอบ เนื่องจากโจทก์ได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีการค้าในรายรับดังกล่าวอีก

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2531 จำเลยโดยเจ้าพนักงานประเมินภาษีสรรพากร เขตพื้นที่ 2 ได้ออกหมายเรียกตรวจสอบภาษีอากรของโจทก์สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีปี 2528-2529 เจ้าพนักงานประเมินได้แจ้งประเมินภาษีการค้าของโจทก์ โดยอ้างเหตุผลที่ประเมินว่าเนื่องจากกรณีจำเป็นเพื่อรักษาประโยชน์ในการจัดเก็บภาษีอากรจึงประเมินเรียกเก็บภาษีการค้าจากโจทก์ก่อนถึงกำหนดเวลายื่นรายการตามมาตรา 18 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร คำนวณภาษีการค้าจากดอกเบี้ยและค่าบริการค้างรับที่เกิดขึ้น ณ วันที่ 30 เมษายน 2529 นอกจากนี้เจ้าพนักงานประเมินได้แจ้งภาษีการค้าของโจทก์สำหรับเดือนพฤษภาคม2528 ถึงเดือนเมษายน 2529 โดยอ้างว่าโจทก์ยื่นรายรับจากดอกเบี้ยรับไว้ไม่ถูกต้อง จึงเรียกเก็บภาษีการค้าเพิ่มเติม พร้อมทั้งเบี้ยปรับและเงินเพิ่มตามกฎหมาย และเจ้าพนักงานประเมินได้แจ้งประเมินภาษีเงินได้นิติบุคคลของโจทก์โดยอ้างว่าโจทก์มิได้นำบัญชีและเอกสารประกอบการลงบัญชีไปให้เจ้าพนักงานตรวจสอบและเอกสารบางส่วนที่ส่งมอบก็ไม่สามารถตรวจสอบความถูกต้องในการคำนวณกำไรสุทธิได้ตามมาตรา 19 แห่งประมวลรัษฎากร โจทก์จึงต้องรับผิดเสียภาษีในอัตราร้อยละ 5 ของยอดรายรับก่อนหักรายจ่ายใด ๆ โจทก์ได้อุทธรณ์การประเมินดังกล่าวต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์มีคำสั่งให้ยกอุทธรณ์ของโจทก์ โจทก์เห็นว่าการประเมินภาษีการค้า และภาษีเงินได้นิติบุคคลของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ของจำเลยนั้น ไม่ถูกต้องและไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้เพิกถอนการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินตามแบบ ภ.ค.80 ที่ ต.1138/3/02962-02963 ลงวันที่ 21 กรกฎาคม 2531เป็นเงิน 201,007 บาท ให้เพิกถอนการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินตามหนังสือแจ้งภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ 1138/2/0864-0865 ลงวันที่21 กรกฎาคม 2531 รวม 2 ฉบับ เป็นเงินทั้งสิ้น 162,352 บาท และให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เลขที่ 273ก/2533/1, 273 ข/2533/1 และ 272/2533/1 ลงวันที่ 7 พฤษภาคม 2533
จำเลยให้การว่า การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ เป็นการถูกต้องชอบด้วยข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายแล้ว ขอให้พิพากษายกฟ้อง
ก่อนสืบพยานโจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องเฉพาะประเด็นที่ให้เพิกถอนการประเมินภาษีเงินได้นิติบุคคล ศาลภาษีอากรกลางอนุญาต
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้เพิกถอนการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เกี่ยวกับภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลสำหรับเดือนพฤษภาคม 2528-เมษายน 2529 ตามหนังสือแจ้งภาษีการค้าเลขที่ 1138/3/02963 ลงวันที่ 21 กรกฎาคม 2531และคำวินิจฉัยอุทธรณ์เลขที่ 273 ข/2533/1 ลงวันที่ 7 พฤษภาคม 2533คำขอของโจทก์นอกจากนี้ให้ยก
โจทก์ จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากร
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า เมื่อวันที่18 เมษายน 2531 เจ้าพนักงานของจำเลยได้ออกหมายเรียกตรวจสอบภาษีอากรของโจทก์สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีวันที่ 1 พฤษภาคม 2527 ถึงวันที่30 เมษายน 2528 และรอบระยะเวลาบัญชี วันที่ 1 พฤษภาคม 2528ถึงวันที่ 30 เมษายน 2529 ต่อมาเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2531เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยได้ประเมินภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลโจทก์ ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 18 ทวิ ประกอบการค้า 12 แห่งบัญชีอัตราภาษีการค้าจากดอกเบี้ยและค่าบริการค้างรับ สำหรับเดือนพฤษภาคม 2527 ถึงเดือนเมษายน 2529 ที่ปรากฏในงบดุลสิ้นสุดณ วันที่ 30 เมษายน 2529 จำนวน 5,712,109.45 บาท ซึ่งคิดเป็นภาษี 188,499.61 บาท และเจ้าพนักงานประเมินได้ประเมินเรียกเก็บภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลเพิ่มเติม สำหรับเดือนพฤษภาคม 2528ถึงเดือนเมษายน 2529 โดยอ้างว่าโจทก์ยื่นรายรับจากดอกเบี้ยไว้ไม่ถูกต้องจำนวน 157,610.96 บาท คิดเป็นภาษีจำนวน 12,508 บาทโจทก์อุทธรณ์การประเมิน คดีมีปัญหาที่ศาลฎีกาจะได้วินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์คือ การประเมินภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลล่วงหน้าตามประมวลรัษฎากร มาตรา 18 ทวิ ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และตามอุทธรณ์ของจำเลยคือ การที่ศาลภาษีอากรกลางให้เพิกถอนประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์เกี่ยวกับภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาล สำหรับเดือนพฤษภาคม 2528 ถึงเดือนเมษายน 2529 เพิ่มเติมนั้นชอบหรือไม่ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหาตามที่จำเลยอุทธรณ์ก่อน ซึ่งในปัญหาดังกล่าวโจทก์นำสืบว่า รายรับที่เจ้าพนักงานประเมินนำมาประเมินภาษีการค้าเพิ่มเติมจากโจทก์ เป็นรายรับที่โจทก์ไม่ต้องเสียภาษีการค้า เพราะเป็นดอกเบี้ยที่โจทก์ได้รับมาจากบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์มิดแลนด์ จำกัด อันเป็นสถาบันการเงิน จึงได้รับยกเว้นภาษี โดยโจทก์มีสำเนาภาพถ่ายแบบ ภ.ง.ด.3 ซึ่งเป็นแบบแสดงรายการหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายสำหรับเงินได้พึงประเมินที่บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์มิดแลนด์ จำกัด ยื่นต่อจำเลย โดยเอกสารดังกล่าวนี้บริษัทดังกล่าวได้รับรองความถูกต้อง จำนวนค่าดอกเบี้ยที่จ่ายและค่าภาษีที่หักไว้ ก็ตรงกับจำนวนค่าดอกเบี้ยที่เป็นรายรับซึ่งจำเลยประเมินเรียกเก็บภาษีการค้าเพิ่มเติมนั่นเอง หากบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์มิดแลนด์ จำกัด ไม่ได้หักภาษีดังกล่าว ณ ที่จ่ายและนำส่งจำเลยแล้ว ก็คงไม่กล้าแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จ เพราะต้นฉบับเอกสารแบบ ภ.ง.ด.3 นี้อยู่ในครอบครองของจำเลย ดังนั้นจึงเห็นว่ารายรับที่เจ้าพนักงานของจำเลยประเมินเรียกเก็บภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลเพิ่มเติม สำหรับเดือนพฤษภาคม 2528 ถึงเดือนเมษายน 2528 จำนวน 157,610.96 บาท ได้มีการหักภาษีไว้ ณ ที่จ่ายแล้วโจทก์ได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีการค้าตามประกาศของกรมสรรพากรที่ป.11/2528 ที่จำเลยอุทธรณ์ว่าการที่โจทก์มิได้นำเอกสารหรือหลักฐานใดมาแสดงต่อเจ้าพนักงานประเมินหรือคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เป็นการสละสิทธิที่จะแสดงหลักฐานที่มีอยู่แล้วนั้นเห็นว่าไม่มีบทกฎหมายใดบัญญัติตัดสิทธิเช่นที่จำเลยว่า ในการดำเนินกระบวนพิจารณาคดี ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 17 บัญญัติให้นำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับโดยอนุโลมในกรณีที่ไม่มีบทบัญญัติและข้อกำหนดตามพระราชบัญญัติดังกล่าว ดังนั้นคู่ความย่อมมีสิทธิที่จะนำพยานหลักฐานใด ๆ มาสืบได้ภายใต้บังคับแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งหรือกฎหมายอื่นอันว่าด้วยการรับฟังพยานหลักฐาน และการยื่นพยานหลักฐานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 85 เมื่อโจทก์ได้ยื่นพยานหลักฐานดังกล่าวถูกต้องตามข้อกำหนดคดีภาษีอากรในชั้นพิจารณาคดีแล้ว ศาลย่อมมีอำนาจรับฟังพยานหลักฐานของโจทก์ประกอบการวินิจฉัยคดีได้ ที่จำเลยอุทธรณ์อีกว่าเอกสารที่โจทก์อ้างส่งศาลเป็นเพียงสำเนาเอกสาร ไม่มีพยานเบิกความรับรองถึงความถูกต้องของเอกสารจึงต้องห้ามรับฟังนั้น เห็นว่าต้นฉบับเอกสารดังกล่าวอยู่ในความครอบครองของจำเลย จำเลยสามารถตรวจสอบถึงความถูกต้องแท้จริงแห่งเอกสารนั้นได้ แต่ก่อนวันสืบพยานจำเลยไม่ได้คัดค้านว่าเอกสารนั้นไม่มีต้นฉบับ หรือว่าต้นฉบับนั้นปลอมทั้งฉบับหรือบางส่วน หรือสำเนานั้นไม่ถูกต้องกับต้นฉบับดังนั้นจำเลยจึงต้องห้ามมิให้คัดค้านการมีอยู่และความแท้จริงหรือความถูกต้องของเอกสารนั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 125 ศาลจึงมีอำนาจรับฟังพยานเอกสารดังกล่าวได้ ที่ศาลภาษีอากรกลางให้เพิกถอนการประเมินภาษีการค้าเพิ่มเติม สำหรับเดือนพฤษภาคม 2528 ถึงเดือนเมษายน 2529 จำนวนรายรับ 157,610.96บาท คิดเป็นเงินภาษีจำนวน 12,508 บาท นั้นชอบแล้ว อุทธรณ์ทุกข้อของจำเลยฟังไม่ขึ้น…”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้เพิกถอนการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินตามแบบ ภ.ค.80 ที่ ต.1138/3/02962 ลงวันที่ 21 กรกฎาคม 2531และคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เลขที่ 273 ก./2533/1ลงวันที่ 7 พฤษภาคม 2533 เสียด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลภาษีอากรกลาง

Share