คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 52/2536

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

นอกจาก ส. แล้วโจทก์มี จ. เบิกความสนับสนุนว่าปลอมเป็นพ่อค้าติดต่อซื้อเฮโรอีนกับจำเลยที่ 1 และพวก เป็นผู้เข้าไปร่วมในเหตุการณ์สามารถรู้เห็นการกระทำของจำเลยทั้งหมดได้อย่างใกล้ชิดคำเบิกความของพยานทั้งสองสอดคล้องต้องกัน แม้จะแตกต่างกันบ้างก็ในส่วนที่เป็นรายละเอียด เมื่อพยานดังกล่าวดำเนินการติดต่อกับจำเลยที่ 1 แล้วจะรายงานให้พ้นตำรวจเอก ค. ทราบทุกขั้นตอนซึ่งพันตำรวจเอก ค. ก็เบิกความรับรองในข้อนี้ จากการวางแผนล่อซื้อเฮโรอีนดังกล่าวสามารถทำให้จับกุมจำเลยทั้งหมด คำพยานโจทก์เชื่อมโยงกันตั้งแต่ต้นจนจบ พยานดังกล่าวเบิกความไปตามหน้าที่ไม่ปรากฏว่ามีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยคนใดคนหนึ่งมาก่อนที่จะฟังว่าพยานแกล้งเบิกความปรักปรำให้จำเลยได้รับโทษ คำเบิกความของพยานโจทก์จึงมีน้ำหนักควรแก่การรับฟัง.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งเจ็ดร่วมกันมีเฮโรอีนไฮโดรคลอไรด์ซึ่งเป็นยาเสพติดให้โทษชนิดร้ายแรงในประเภท 1 จำนวน 1 ก้อนน้ำหนัก 344 กรัม คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์หนัก 310.6 กรัม และอีก13 ก้อน น้ำหนัก 5,820 กรัม คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์หนัก 5,366.7กรัม ไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่าย และจำเลยทั้งเจ็ดร่วมกันจำหน่าย ขาย ส่งมอบเฮโรอีนซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเฮโรอีนดังกล่าวจำนวน 1 ก้อน น้ำหนัก 344 กรัม คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์หนัก 310.6กรัม ให้แก่ผู้ล่อซื้อ ต่อมา จำเลยทั้งเจ็ดร่วมกันจำหน่าย ขายส่งมอบ เฮโรอีนซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเฮโรอีนดังกล่าวข้างต้นอีก 13ก้อน น้ำหนัก 5,820 กรัม คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ 5,366.7 กรัมให้แก่ผู้ล่อซื้อ จำเลยที่ 1 เป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1680/2531 ของศาลชั้นต้นและจำเลยที่ 5 เป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยที่ 1 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1557/2531 ของศาลชั้นต้น ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 102 พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ(ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2528 มาตรา 4 ประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 2(พ.ศ. 2522) เรื่องระบุชื่อและประเภทยาเสพติดให้โทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 ลงวันที่ 17 กันยายน 2522ข้อ 1(1) ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 83, 91 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2526 มาตรา 4และสั่งริบเฮโรอีน กระเป๋าหนังและรถยนต์หมายเลขทะเบียน 2 จ-5652กรุงเทพมหานคร และให้นับโทษจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษจำคุกของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1680/2531 ของศาลชั้นต้น และนับโทษจำเลยที่ 5 ต่อจากโทษจำคุกของจำเลยที่ 1 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1557/2531 ของศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 และที่ 3 ให้การรับสารภาพ จำเลยที่ 1 รับว่าเป็นคนเดียวกับจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1680/2531 ของศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 2 ที่ 4 ที่ 5 ที่ 6 และที่ 7 ให้การปฏิเสธ จำเลยที่ 5 รับว่าเป็นคนเดียวกับจำเลยที่ 1 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่1557/2531 ของศาลชั้นต้น
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งเจ็ดมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคสอง, 66 วรรคสอง เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย วางโทษประหารชีวิต ฐานจำหน่ายเฮโรอีนวางโทษประหารชีวิต จำเลยที่ 1 ที่ 3 ให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 ประกอบมาตรา 52 คงจำคุกจำเลยที่ 1 ที่ 3 ไว้ตลอดชีวิตทั้งสองกระทง แต่ให้ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ที่ 3 ไว้ตลอดชีวิตเพียงสถานเดียว และให้ประหารชีวิต จำเลยที่ 2 ที่ 4 ที่ 5 ที่ 6 และที่ 7 เพียงสถานเดียว ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ริบเฮโรอีนและกระเป๋าหนังของกลาง ส่วนรถยนต์ให้คืนเจ้าของ คำขอให้นับโทษจำเลยที่ 1 ที่ 3 ต่อจากคดีอื่นให้ยก
จำเลยที่ 2 ที่ 4 ที่ 5 ที่ 6 และที่ 7 อุทธรณ์ จำเลยที่ 1ที่ 3 ไม่อุทธรณ์ ศาลชั้นต้นรวมส่งสำนวนมายังศาลอุทธรณ์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 245
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ที่ 4 ที่ 5 ที่ 6 และที่ 7 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…นอกจากนายสุรพลแล้วโจทก์มีนายจิมมี่เซย์ เบิกความสนับสนุนพยานทั้งสองปากนี้ว่า ปลอมเป็นพ่อค้าติดต่อซื้อเฮโรอีนกับจำเลยที่ 1 และพวกเป็นผู้เข้าไปร่วมในเหตุการณ์สามารถรู้เห็นการกระทำของจำเลยทั้งหมดได้อย่างใกล้ชิดคำเบิกความของพยานทั้งสองสอดคล้องต้องกัน แม้จะแตกต่างกันบ้างก็ในส่วนที่เป็นรายละเอียด เมื่อพยานดังกล่าวดำเนินการติดต่อกับจำเลยที่ 1 แล้วจะรายงานให้พันตำรวจเอกคมกฤชทราบทุกขั้นตอนซึ่งพันตำรวจเอกคมกฤชก็เบิกความรับรองในข้อนี้ จากการวางแผนล่อซื้อเฮโรอีนดังกล่าวสามารถทำให้จับกุมจำเลยทั้งหมด คำพยานโจทก์เชื่อมโยงกันตั้งแต่ต้นจนจบ พยานดังกล่าวเบิกความไปตามหน้าที่ไม่ปรากฏว่ามีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยคนใดคนหนึ่งมาก่อนที่จะฟังว่าพยานแกล้งเบิกความปรักปรำให้จำเลยได้รับโทษคำเบิกความของพยานโจทก์จึงมีน้ำหนักควรแก่การรับฟัง สำหรับพยานจำเลยที่ 2 ที่ 4 ที่ 5 ที่ 6 และที่ 7 เบิกความลอย ๆ ไม่มีเหตุผล โดยเฉพาะจำเลยที่ 2 รับว่าในวันจับกุมได้ขับรถยนต์ให้จำเลยที่ 1 จริง จำเลยที่ 4 ว่าได้นั่งในรถยนต์เพื่อรอจำเลยที่ 1จำเลยที่ 5 รับว่าเคยไปที่โรงแรม เจ.บี.กับจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 1 ติดต่อขายเฮโรอีนกับพ่อค้าจริง จำเลยที่ 7 ว่าจำเลยที่ 1 เคยค้ำประกันในการที่ญาติของจำเลยที่ 1 ซื้อตู้เย็นและเครื่องรับโทรทัศน์จากร้านของจำเลยที่ 7 ไปเป็นการเจือสมว่าจำเลยดังกล่าวมีส่วนเกี่ยวข้องกับจำเลยที่ 1 จริง พยานจำเลยไม่อาจฟังหักล้างพยานโจทก์ได้ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 ที่ 4 ที่ 5 ที่ 6และที่ 7 ได้กระทำการดังที่โจทก์นำสืบจริง เห็นว่า การที่จำเลยที่ 2 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 มีหน้าที่ขับรถยนต์ตามคำสั่งของจำเลยที่ 1 หรือที่ 4 จำเลยที่ 2 ได้ขับรถยนต์พาจำเลยที่ 1 และนายสุรพลกับพวกไปดูเฮโรอีนที่บ้านของจำเลยที่ 5 ที่ตำบลคูคตอำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2531 และเมื่อได้ทดสอบดูแล้วจำเลยที่ 2 และที่ 6 ได้นำเฮโรอีนไปเก็บซุกซ่อนไว้และการที่จำเลยที่ 2 ขับรถนำจำเลยที่ 3 และนายสุรพลไปเอาเฮโรอีนซึ่งเก็บซุกซ่อนไว้ที่บ้านในซอยบางไผ่ ฝั่งธนบุรีในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2531 ซึ่งเป็นวันถูกจับกุมแล้วจำเลยที่ 2และที่ 4 ได้มารออยู่ในรถที่โรงแรมเอเซียจนกระทั่งถูกจับกุมแม้จะกระทำตามคำสั่งของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นนายจ้าง แต่ตามคำเบิกความของนายสุรพลว่าจำเลยที่ 1 เคยบอกว่าจำเลยที่ 2 เคยเป็นลูกน้องของจำเลยที่ 7 เคยขนเฮโรอีนให้จำเลยที่ 7 เป็นคนที่ไว้ใจได้ ดังนั้น ตามพฤติการณ์จึงเชื่อได้ว่าจำเลยที่ 2 ทราบว่าจำเลยที่ 1 กับนายสุรพลและนายจิมมี่ ติดต่อซื้อขายเฮโรอีนกัน การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงเป็นความผิด จำเลยที่ 4 เป็นภรรยาของจำเลยที่ 1 แม้จะเป็นอัมพาตไม่สามารถเดินได้แต่สามารถพูดจาได้ทั้งสามารถไปไหนมาไหนได้โดยรถยนต์ เมื่อนายสุรพล นายจิมมี่และสายลับไปติดต่อซื้อเฮโรอีนกับจำเลยที่ 1 ที่บ้าน จำเลยที่ 4ได้พูดแสดงความคิดเห็นหรือเสนอแนะในการซื้อขายทั้งได้ความจากนายสุรพลว่าจำเลยที่ 4 ได้บอกให้ทราบเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2530ว่า จำเลยที่ 4 ได้ร่วมเดินทางไปจังหวัดเชียงราย เพื่อยืนยันกับหุ้นส่วนว่าถ้ายาเสพติดส่งมาถึงกรุงเทพฯ จะต้องมีผู้ซื้อ ทั้งได้บอกนายสุรพลให้ฝากนายจิมมี่ว่าให้ใจเย็น ๆ จำเลยที่ 4 ได้ออกความเห็นเกี่ยวกับการที่ให้จำเลยที่ 3 ไปเอาเฮโรอีนจากบ้านจำเลยที่ 5มาให้นายสุรพลกับพวกทดสอบดู ทั้งยังทราบที่ซุกซ่อนของเฮโรอีนด้วย ในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2531 จำเลยที่ 4 ไปรออยู่ในรถยนต์ตามคำสั่งของจำเลยที่ 1 เพื่อรับเงินจากนายสุรพลกับพวก การกระทำของจำเลยที่ 4 ถือได้ว่าร่วมกับจำเลยที่ 1 มีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเฮโรอีนโดยไม่ได้รับอนุญาต จำเลยที่ 5 ได้ไปกับจำเลยที่ 1 ได้เสนอขายเฮโรอีนให้นายสุรพลกับพวกที่ล่อซื้อที่โรงแรม เจ.บี. เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2530นอกจากนี้ในวันที่ 14 มกราคม 2531 นายสุรพลได้พบจำเลยที่ 5และที่ 6 ที่บ้านของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 5 ได้บอกกับจำเลยที่ 4 ว่าให้บอกจำเลยที่ 1 ว่าเมื่อได้เฮโรอีนมาแล้วให้นำไปเก็บไว้ที่บ้านของตน ซึ่งปรากฏต่อมาว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้พานายสุรพลกับพวกไปดูตัวอย่างและทดสอบเฮโรอีนที่บ้านของจำเลยที่ 5 เมื่อวันที่ 29มกราคม 2531 หลังจากทดสอบแล้ว จำเลยที่ 6 บุตรเขยของจำเลยที่ 5 ได้นำเฮโรอีนไปเก็บซ่อนไว้ แสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 5 และที่ 6ได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 กระทำผิดตามฟ้อง ส่วนจำเลยที่ 7 นั้นนอกจากจำเลยที่ 1 ระบุว่าเป็นหุ้นส่วนกันแล้ว เมื่อวันที่ 18 มกราคม 2531จำเลยที่ 7 ได้มาพบนายสุรพลกับพวกที่บ้านของจำเลยที่ 1 ยืนยันว่าจะส่งเฮโรอีนมาให้ตามสั่ง เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ ปีเดียวกันจำเลยที่ 1 ได้โทรศัพท์ติดต่อเรื่องเฮโรอีนกับจำเลยที่ 7 ต่อหน้านายสุรพลกับพวก ต่อมาได้มีการส่งเฮโรอีนมาให้จำเลยที่ 1 อีก10 ก้อน ตามพฤติการณ์แสดงให้เห็นว่า จำเลยที่ 7 เป็นผู้ส่งเฮโรอีนมาให้จำเลยที่ 1 ขายให้นายสุรพลกับพวกตามที่ได้พูดไว้ ที่จำเลยฎีกาว่าพยานโจทก์ปากนายสุรพลเบิกความแตกต่างกับนายจิมมี่และปรักปรำจำเลยเพราะเป็นพนักงานปราบปรามยาเสพติดให้โทษนั้นเห็นว่า แม้คำพยานของพยานทั้งสองจะแตกต่างกันบ้างก็เฉพาะในส่วนที่เป็นพลความ หาใช่ส่วนที่เป็นสาระสำคัญไม่ ที่ว่าเบิกความปรักปรำนั้น พยานทั้งสองเป็นเจ้าพนักงานกระทำการไปตามหน้าที่เบิกความไปตามความจริงตามที่รู้เห็น เนื่องจากปลอมตัวเข้าร่วมในเหตุการณ์การกระทำของจำเลยที่ 2 ที่ 4 ที่ 5 ที่ 6 และที่ 7 เป็นตัวการร่วมกระทำผิดกับจำเลยที่ 1 และที่ 3 โดยแบ่งหน้าที่กันทำที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำเลยฐานร่วมกันมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและร่วมกันจำหน่ายเฮโรอีนโดยไม่ได้รับอนุญาต ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 2 ที่ 4ที่ 5 ที่ 6 และที่ 7 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.

Share