แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยทั้งสามฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยทั้งสามฎีกาโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของ ศาลอุทธรณ์ จึงเป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง คดีนี้เป็นคดี ฟ้องขับไล่บุคคลออกจากอสังหาริมทรัพย์ อันมีค่าเช่าหรืออาจ ให้เช่าได้ในขณะยื่นฟ้องไม่เกินเดือนละหนึ่งหมื่นบาท ฎีกาของ จำเลยทั้งสามจึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคสอง ที่แก้ไขแล้ว จึงไม่รับฎีกาจำเลยทั้งสาม
จำเลยทั้งสามเห็นว่า ฎีกาที่ว่าจำเลยทั้งสามครอบครอง ที่พิพาทจนได้กรรมสิทธิ์ตามกฎหมายแล้ว เป็นปัญหาข้อกฎหมาย และคดีนี้โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลย จำเลยต่อสู้โต้แย้งในเรื่อง กรรมสิทธิ์ จำเลยเห็นว่าโจทก์ต้องเสียค่าขึ้นศาลเพิ่มอย่างคดี มีทุนทรัพย์ เมื่อโจทก์มิได้เสียค่าขึ้นศาล ฟ้องโจทก์จึง ไม่สมบูรณ์ เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน และคดีไม่ต้องห้ามฎีกาตามกฎหมาย เนื่องจากคดีนี้เป็นคดีพิพาทกัน ในเรื่องกรรมสิทธิ์ มิใช่คดีฟ้องขับไล่อันอาจมีค่าเช่าในขณะ ยื่นฟ้องไม่เกินเดือนละหนึ่งหมื่นบาท โปรดมีคำสั่งรับฎีกาของ จำเลยทั้งสามไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ทั้งสองได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 174)
ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น จำเลยที่ 1 ถึงแก่กรรมจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นทายาทของจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอเข้าเป็น คู่ความแทนที่ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามรื้อถอนบ้านเลขที่ 34,35 ส่วนที่รุกล้ำและออกไปจากที่ดินโฉนดเลขที่ 14040 และ 14041 ตำบลโพนางดำออก(โพนางดำ) อำเภอสรรพยา (อินทร์บุรี) จังหวัดชัยนาท (สิงห์บุรี) ของโจทก์ทั้งสอง ให้จำเลยทั้งสาม ร่วมกันชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสองเป็นเงินปีละ 500 บาท นับตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะรื้อถอนบ้านและออกไปจากที่ดินดังกล่าว
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสามฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 168)
จำเลยทั้งสามยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 170)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ขอให้จำเลยทั้งสามรื้อถอนบ้านที่ปลูกรุกล้ำออกไป จำเลยทั้งสามกล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ว่า จำเลยที่ 2 ได้ครอบครองที่ดินพิพาทจนได้กรรมสิทธิ์ตามกฎหมายแล้ว จึงเป็นคดี มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์ อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ มิใช่คดีฟ้องขับไล่บุคคลออกจากอสังหาริมทรัพย์ ก่อนที่ศาลชั้นต้น จะมีคำสั่งฎีกาของจำเลยทั้งสาม ชอบที่ศาลชั้นต้นจะต้องตีราคา ที่ดินพิพาทคำนวณค่าขึ้นศาลให้จำเลยทั้งสามชำระให้ถูกต้องครบถ้วนเพื่อทราบว่าคดีของจำเลยทั้งสามต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหา ข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคแรก ที่แก้ไขแล้ว หรือไม่เสียก่อน แล้วจึงมีคำสั่งรับหรือไม่รับฎีกาของจำเลยทั้งสาม การที่ศาลชั้นต้นไม่ตีราคาที่ดินพิพาท อ้างว่าเป็นคดีฟ้องขับไล่บุคคลออกจากอสังหาริมทรัพย์ อันมีค่าเช่าหรืออาจให้เช่าได้ในขณะยื่นคำฟ้อง ไม่เกินเดือนละหนึ่งหมื่นบาท ต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคสอง ที่แก้ไขแล้ว และมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยทั้งสาม จึงเป็นการ ไม่ชอบ ให้ยกคำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งไม่รับฎีกาของจำเลย ทั้งสามเสีย และให้ศาลชั้นต้นดำเนินการตีราคาที่ดินพิพาทคำนวณ ค่าขึ้นศาลให้จำเลยทั้งสามชำระให้ถูกต้องครบถ้วนเสียก่อน แล้วจึงมีคำสั่งฎีกาของจำเลยทั้งสามใหม่ตามประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18 ต่อไป