คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3458/2533

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ผู้ที่จะเป็นคู่ความในคดีได้ ต้องเป็นบุคคลดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 1(11) และคำว่าบุคคล นั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ได้แก่บุคคลธรรมดาและนิติบุคคลสำนักงานกลางจัดจำหน่ายน้ำตาลทรายขาวเป็นเพียงสำนักงานที่มีคณะบุคคลเป็นผู้บริหาร จึงมิใช่บุคคลตามกฎหมายไม่อาจเป็นคู่ความตามกฎหมายไม่อาจเป็นคู่ความในคดีได้ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง การที่จำเลยแจ้งภาษีเงินได้ในนามของโจทก์ หรือการที่คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์รับพิจารณาคำอุทธรณ์ที่อุทธรณ์ในนามของโจทก์ ไม่ทำให้โจทก์มีสภาพเป็นบุคคล

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนกาประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ที่ให้โจทก์เสียภาษีเงินได้ประจำปี พ.ศ. 2524, 2525 เป็นเงิน 22,881.75 บาท และ10,376,469.67 บาท ตามลำดับ
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 ให้การว่า โจทก์เป็นคณะบุคคล มิได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการบริหารจึงไม่มีอำนาจฟ้อง การประเมินของเจ้าพนักงานและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ชอบแล้ว
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนการประเมินของจำเลยที่ 1 และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 3 ถึงที่ 5
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ ข้อเท็จจริงปรากฏตามคำฟ้องและทางนำสืบของโจทก์ว่า โจทก์คือสำนักงานกลางจัดจำหน่ายน้ำตาลทรายขาว จัดตั้งขึ้นตามประกาศของกระทรวงอุตสาหกรรมโดยมีคณะบุคคลจำนวนหนึ่งเป็นคณะกรรมการบริหาร ไม่มีสภาพเป็นนิติบุคคล ศาลฎีกาเห็นว่า ผู้ที่จะเป็นคู่ความในคดี กล่าวคือเป็นผู้ยื่นคำฟ้องหรือถูกฟ้องต่อศาลได้นั้น จะต้องเป็นบุคคลดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 1(11)ว่า “คู่ความ หมายความว่าบุคคลผู้ยื่นคำฟ้องหรือถูกฟ้องต่อศาลฯลฯ” และคำว่าบุคคลนั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ได้แก่บุคคลธรรมดาและนิติบุคคล สำหรับสำนักงานกลางจัดจำหน่ายน้ำตาลทรายขาวโจทก์นั้นมิใช่บุคคลธรรมดา เพราะเป็นเพียงสำนักงานที่มีคณะบุคคลเป็นผู้บริหารเท่านั้น และโจทก์ก็มิใช่นิติบุคคลเพราะโจทก์ยอมรับในชั้นนำสืบอยู่แล้ว เมื่อโจทก์มิใช่บุคคลไม่อาจเป็นคู่ความในคดีได้ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่า เมื่อจำเลยที่ 1 ที่ 2 แจ้งภาษีเงินได้ก็แจ้งในนามของสำนักงานกลางจัดจำหน่ายน้ำตาลทรายขาว เมื่อโจทก์อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ก็อุทธรณ์ในนามของสำนักงานกลางจัดจำหน่ายน้ำตาลทรายขาว ซึ่งคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ก็รับวินิจฉัยอุทธรณ์ให้ ฉะนั้น สำนักงานกลางจัดจำหน่ายน้ำตาลทรายขาวโจทก์จึงมีอำนาจฟ้องคดีนี้ ศาลฎีกาเห็นว่า การที่จำเลยที่ 1 ที่ 2แจ้งภาษีเงินได้ในนามของโจทก์ก็ดี การที่คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์รับพิจารณาคำอุทธรณ์ที่อุทธรณ์ในนามของโจทก์ก็ดี หาทำให้โจทก์ซึ่งไม่มีสภาพเป็นบุคคลตามกฎหมายกลับกลายเป็นมีสภาพบุคคลขึ้นไม่ เมื่อโจทก์ไม่ใช่บุคคลเสียแล้วจึงไม่มีอำนาจเป็นโจทก์ฟ้องคดีนี้”
พิพากษายืน

Share