แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่2และที่3กับพวกล่อลวงผู้ตายและผู้เสียหายมายังที่เกิดเหตุจุดแรกโดยมีเจตนาเพียงทำร้ายร่างกายและทำร้ายร่างกายผู้เสียหายจนได้รับอันตรายสาหัสแต่ผู้ตายหลบหนีไปได้เสียก่อนการที่จำเลยที่2ที่3และ ฮ. ติดตามไปทันและฆ่าผู้ตายในภายหลังต่อเนื่องกันไปย่อมเห็นได้ว่าเพิ่งมี เจตนาฆ่าผู้ตายในขณะนั้นจึงถือไม่ได้ว่าจำเลยที่2ที่3และ ฮ.มีเจตนาฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน การกระทำของจำเลยที่2และที่3ต่อผู้ตายและผู้เสียหายดังกล่าวเป็นการกระทำหลายกรรมต่างกันแต่ศาลอุทธรณ์ลงโทษจำเลยที่2และที่3ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา289(4),83เพียงกรรมเดียวเมื่อโจทก์มิได้ฎีกาศาลฎีกาจึงไม่อาจลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา297(8)อีกกรรมหนึ่งได้เพราะเป็นการพิพากษา เพิ่มเติมโทษจำเลยต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา212ประกอบมาตรา225แต่ศาลฎีกามีอำนาจปรับบทลงโทษให้ถูกต้องได้ การที่จำเลยที่2และที่3อุทธรณ์ว่ามิใช่คนร้ายที่กระทำผิดตามฟ้องย่อมครอบคลุมไปถึงข้ออุทธรณ์ว่าไม่มีเจตนาฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อนอยู่ด้วย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา288,289(4)(5),83,80,91,33และริบชะแลงของกลาง
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่าจำเลยที่2และที่3มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา289(4),80,83ประกอบมาตรา52(1)เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา91ความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนให้ประหารชีวิตจำเลยที่2และที่3ความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนให้จำคุกจำเลยที่2และที่3ไว้ตลอดชีวิตเมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้วคงให้ประหารชีวิตจำเลยที่2และที่3สถานเดียวริบชะแลงของกลางข้อหาอื่นให้ยกและให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่1
โจทก์จำเลยที่2และที่3อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค3พิพากษาแก้เป็นว่าการกระทำของจำเลยที่2และที่3เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา297(8),298,289(4),83เป็นความผิดกรรมเดียวกันผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา289(4),83อันเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา90สำหรับจำเลยที่2ให้ลงโทษประหารชีวิตส่วนจำเลยที่3มีอายุ19ปีเห็นควรลดมาตราส่วนโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา76ประกอบมาตรา52(1)คงให้ลงโทษจำคุกตลอดชีวิตนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่2และที่3ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่2และที่3กับพวกร่วมกันทำร้ายผู้เสียหายจนเป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัสและมีเจตนาฆ่าผู้ตายจนถึงแก่ความตายแล้วนำศพมาให้รถไฟทับสำหรับปัญหาที่ว่าจำเลยที่2และที่3มีเจตนาฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อนหรือไม่นั้นในชั้นอุทธรณ์จำเลยที่2และที่3อุทธรณ์ว่ามิใช่คนร้ายที่กระทำผิดตามฟ้องจึงครอบคลุมไปถึงข้ออุทธรณ์ว่าไม่มีเจตนาฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อนอยู่ด้วยหาใช่มิได้ยกขึ้นเป็นข้ออุทธรณ์ดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค3วินิจฉัยไม่ส่วนการที่จำเลยที่2ที่3และพวกล่อลวงผู้ตายกับผู้เสียหายมายังที่เกิดเหตุจุดแรกพร้อมกันและตรงเข้าทำร้ายผู้ตายกับผู้เสียหายพร้อมกันแต่ผู้ตายหลบหนีไปได้เสียก่อนในตอนแรกย่อมเห็นได้ว่าเจตนาของจำเลยที่2ที่3และนาย ฮีดที่มีต่อผู้ตายและผู้เสียหายในขณะนั้นเป็นเจตนาเดียวกันซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค3ก็ฟังข้อเท็จจริงโดยโจทก์ไม่ฎีกาว่าจำเลยที่2ที่3และนาย ฮีดมีเจตนาเพียงทำร้ายผู้เสียหายมิได้มีเจตนาฆ่าย่อมถือว่าขณะเดียวกันจำเลยที่2ที่3และนาย ฮีดคงมีเจตนาเพียงทำร้ายผู้ตายเช่นเดียวกันและถือได้ว่าในขณะนั้นจำเลยที่2ที่3และนาย ฮีดล่อลวงผู้ตายมาเพื่อทำร้ายเท่านั้นหาใช่ล่อลวงมาเพื่อฆ่าไม่การที่จำเลยที่2ที่3และนาย ฮีดติดตามไปทันและฆ่าผู้ตายในภายหลังต่อเนื่องกันไปโดยมีพฤติการณ์ดังกล่าวข้างต้นสนับสนุนย่อมเห็นได้ว่าเพิ่งมีเจตนาฆ่าผู้ตายในขณะนั้นจึงถือไม่ได้ว่าจำเลยที่2ที่3กับนาย ฮีดมีเจตนาฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน
อนึ่งการกระทำของจำเลยที่2และที่3ดังกล่าวต่อผู้ตายและผู้เสียหายเป็นการกระทำหลายกรรมต่างกันหาใช่เป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียวดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค3พิพากษาไม่แต่เมื่อโจทก์มิได้ฎีกาศาลฎีกาจึงไม่อาจลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา297(8)อีกกรรมหนึ่งได้เพราะจะเป็นการพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลยต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา212ประกอบมาตรา225แต่ศาลฎีกามีอำนาจปรับบทลงโทษให้ถูกต้องได้
พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยที่2และที่3มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา288,297(8),83,91ซึ่งเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษตามมาตรา288จำคุกจำเลยที่2และที่3ตลอดชีวิตส่วนความผิดตามมาตรา297(8)ศาลอุทธรณ์ภาค3มิได้ลงโทษไว้และโจทก์มิได้ฎีกาจึงลงโทษตามมาตราดังกล่าวนี้มิได้เมื่อลดมาตราส่วนโทษให้จำเลยที่3หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา76ประกอบมาตรา53แล้วคงจำคุกจำเลยที่3มีกำหนด33ปี4เดือนนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค3