แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้ที่จะเป็นคู่ความในคดีได้ ต้องเป็นบุคคลดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 1 (11) และคำว่า บุคคลนั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ได้แก่บุคคลธรรมดาและนิติบุคคล สำนักกลางจัดจำหน่ายน้ำตาลทรายขาย เป็นเพียงสำนักที่มีคณะบุคคลเป็นผู้บริหาร จึงมิใช่บุคคลตามกฎหมายไม่อาจเป็นคู่ความในคดีได้ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง การที่จำเลยแจ้งภาษีเงินได้ในนามของโจทก์ หรือการที่คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์รับพิจารณาคำอุทธรณ์ที่อุทธรณ์ในนามของโจทก์ ไม่ทำให้โจทก์ซึ่งไม่มีสภาพเป็นบุคคลตามกฎหมาย กลับกลายเป็นมีสภาพบุคคล
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า สำนักงานกลางจัดจำหน่ายน้ำตาลทรายขาวจัดตั้งขึ้นตามประกาศของกระทรวงอุตสาหกรรม มีนายสุนทร โภคาชัยพัฒน์ เป็นผู้จัดการ จำเลยที่ ๑ เป็นกรมในกระทรวงการคลัง จำเลยที่ ๒ เป็นเจ้าพนักงานประเมินภาษีเงินได้ จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๕ เป็นกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ตามประมวลรัษฎากร จำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๒ ได้ประเมินเรียกเก็บภาษีเงินได้จากโจทก์ โจทก์ได้อุทธรณ์คำสั่งของเจ้าพนักงานประเมินต่อจำเลยที่ ๓ ถึงที่ ๕ จำเลยที่ ๓ ถึงที่ ๕ วินิจฉัยว่าการประเมินชอบแล้ว โจทก์เห็นว่าการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์นั้นเป็นการไม่ชอบ เพราะโจทก์ได้ตั้งขึ้นตามประกาศของทางราชการ ให้ทำหน้าที่ควบคุมการผลิตน้ำตาบทรายของโรงงานน้ำตาล และเป็นตลาดกลางในการจำหน่ายน้ำตาลทรายที่ใช้บริโภคในประเทศ โจทก์ไม่มีเงินได้ที่จะต้องเสียภาษี ขอให้เพิกถอนการประเมินของจำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๒ และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ ๓ ถึงที่ ๕
จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๕ ให้การว่า โจทก์เป็นคณะบุคคล นายสุนทร โภคาชัยพัฒน์ มิได้รับมอบอำนาจจากคณะกรรมการบริหารจึงไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้ โจทก์ฟ้องคดีเมื่อพ้นกำหนดเวลาตามกฎหมาย ไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า นายสุนทรมีอำนาจฟ้องพิพากษาให้เพิกถอนการประเมินของจำเลยที่ ๑ และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ ๓ ถึงที่ ๕
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ ข้อเท็จจริงปรากฏตามคำฟ้องและทางนำสืบของโจทก์ว่า โจทก์คือสำนักงานกลางจัดจำหน่ายน้ำตาลทรายขาย จัดตั้งขึ้นตามประกาศของกระทรวงอุตสาหกรรม โดยมีคณะบุคคลจำนวนหนึ่งเป็นคณะกรรมการการบริหารไม่มีสภาพเป็นนิติบุคคล ศาลฎีกาเห็นว่า ผู้ที่จะเป็นคู่ความในคดี กล่าวคือ เป็นผู้ยื่นคำฟ้องหรือถูกฟ้องต่อศาลได้นั้น จะต้องเป็นบุคคลดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑ (๑๑) ว่า “คู่ความ หมายความว่าบุคคลผู้ยื่นคำฟ้องหรือถูกฟ้องต่อศาล ฯลฯ” และคำว่าบุคคลนั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ได้แก่ บุคคลธรรมดาและนิติบุคคล สำหรับสำนักงานกลางจัดจำหน่ายน้ำตาลทรายขายโจทก์นั้นมิใช่บุคคลธรรมดา เพราะเป็นเพียงสำนักงานที่มีคณะบุคคลเป็นผู้บริหารเท่านั้นและโจทก์มิใช่นิติบุคคล เพราะโจทก์ยอมรับในชั้นนำสืบอยู่แล้ว เมื่อโจทก์มิใช่บุคคลไม่อาจเป็นคู่ความในคดีได้ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่าเมื่อจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ แจ้งภาษีเงินได้ก็แจ้งในนามของสำนักงานกลางจัดจำหน่ายน้ำตาลทรายขาว เมื่อโจทก์อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ก็อุทธรณ์ในนามของสำนักงานกลางจัดจำหน่ายน้ำตาลทรายขาว ซึ่งคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ก็รับวินิจฉัยอุทธรณ์ให้ ฉะนั้นสำนักงานกลางจัดจำหน่ายน้ำตาลทรายขาวโจทก์จึงมีอำนาจฟ้องคดีนี้ ศาลฎีกาเห็นว่า การที่จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ แจ้งภาษีเงินได้ในนามของโจทก์ก็ดี การที่คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์รับพิจารณาคำอุทธรณ์ที่อุทธรณ์ในนามของโจทก์ก็ดี หาทำให้โจทก์ซึ่งไม่มีสภาพเป็นบุคคลตามกฎหมาย กลับกลายเป็นมีสภาพบุคคลขึ้นไม่ เมื่อโจทก์ไม่ใช่บุคคลเสียแล้วจึงไม่มีอำนาจเป็นโจทก์ฟ้องคดีนี้ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง และพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยไม่วินิจฉัยประเด็นข้ออื่นนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน