คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3448/2547

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 279 วรรคสอง จำคุก 3 ปี ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามมาตรา 279 วรรคหนึ่ง จำคุก 8 เดือน เป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 แก้วรรคของความผิดในบทมาตราเดียวกันไม่ถือเป็นการแก้บทความผิด แม้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 จะแก้ไขโทษด้วยก็เป็นการแก้ไขเล็กน้อย และคงให้ลงโทษจำคุกไม่เกินห้าปี จึงห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคหนึ่ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าความผิดตาม ป.อ. มาตรา 284 วรรคหนึ่งและมาตรา 317 วรรคสาม เป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามมาตรา 317 วรรคสาม ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด จำคุก 5 ปี ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยไม่มีความผิดตามมาตรา 284 ให้ยกฟ้องในความผิดฐานนี้ และพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามมาตรา 317 วรรคหนึ่ง จำคุก 2 ปี เป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 แก้วรรคของความผิดในบทหนักอันเป็นบทที่ศาลชั้นต้นลงโทษ แม้จะยกฟ้องความผิดในบทที่เบากว่า ก็ต้องถือว่าเป็นการแก้ไขเล็กน้อยและคงให้ลงโทษจำคุกไม่เกินห้าปี จึงห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคหนึ่ง เช่นเดียวกัน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 279, 284, 317, 91
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 279 วรรคสอง, 284 วรรคแรก, 317 วรรคสาม การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี จำคุก 3 ปี ฐานพาหญิงไปเพื่อการอนาจารและพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดาโดยปราศจากเหตุอันสมควรเพื่อการอนาจาร เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดาโดยปราศจากเหตุอันสมควรเพื่อการอนาจาร ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 5 ปี รวมจำคุก 8 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 วรรคหนึ่ง และมาตรา 279 วรรคหนึ่ง การกระทำของจำเลยเป็นความผิดสองกรรมต่างกัน ให้ลงโทษจำเลยทุกกรรมเป็นกระทงความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา ให้จำคุก 3 ปี ฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี ให้จำคุก 1 ปี ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 78 คงจำคุกรวม 2 ปี 8 เดือน ข้อหาอื่นให้ยก
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี โดยประกอบด้วยเหตุฉกรรจ์คือ โดยใช้กำลังประทุษร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 279 วรรคสอง ให้จำคุก 3 ปี ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี โดยไม่ประกอบด้วยเหตุฉกรรจ์คือไม่ได้ใช้กำลังประทุษร้าย อันเป็นความผิดเพียงตามมาตรา 279 วรรคหนึ่ง ลงโทษจำคุก 8 เดือน จึงเป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 แก้วรรคของความผิดในบทมาตราเดียวกัน ไม่ถือเป็นการแก้บทความผิด ดังนั้น แม้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 จะแก้โทษด้วยก็เป็นการแก้ไขเล็กน้อยและคงให้ลงโทษจำคุกไม่เกินห้าปี จึงห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ส่วนความผิดฐานพาหญิงไปเพื่อการอนาจารโดยใช้อุบายหลอกลวง ใช้กำลังประทุษร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 284 วรรคหนึ่ง และความผิดฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดาเพื่อการอนาจารตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 วรรคสาม ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามมาตรา 317 วรรคสาม ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด จำคุก 5 ปี ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยไม่มีความผิดตามมาตรา 284 ให้ยกฟ้องในความผิดฐานนี้ แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ก็คงพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดาโดยปราศจากเหตุอันสมควร โดยไม่ประกอบด้วยเหตุฉกรรจ์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 วรรคหนึ่ง จำคุก 2 ปี จึงนับเป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 แก้วรรคของความผิดในบทหนักอันเป็นบทที่ศาลชั้นต้นลงโทษ ดังนั้น แม้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 จะยกฟ้องความผิดในบทที่เบากว่าก็ต้องถือว่าศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้ไขเล็กน้อยและคงลงโทษจำคุกไม่เกินห้าปีจึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง เช่นเดียวกัน ที่โจทก์ฎีกาว่า จากคำให้การพยานโจทก์และพฤติการณ์ของจำเลยฟังได้ว่าจำเลยวางแผนและใช้อุบายหลอกลวงผู้เสียหายให้หลงเชื่อไปยังที่เกิดเหตุกับจำเลย มิใช่ผู้เสียหายสมัครใจไปกับจำเลย และจำเลยได้ดึงตัวผู้เสียหายนอนลงแล้วพยายามปล้ำผู้เสียหาย เป็นการกระทำอนาจารโดยใช้กำลังประทุษร้ายผู้เสียหายจนผู้เสียหายอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้นั้น เป็นฎีกาดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 3 ซึ่งวินิจฉัยแล้วว่าพยานหลักฐานของโจทก์รับฟังได้ว่าผู้เสียหายสมัครใจไปยังที่เกิดเหตุกับจำเลยและยินยอมให้จำเลยล่วงเกินทางเพศโดยจำเลยไม่ได้ใช้กำลังประทุษร้ายบังคับทำอนาจารผู้เสียหาย ฎีกาของโจทก์จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงต้องห้ามตามบทกฎหมายข้างต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย”
พิพากษาให้ยกฎีกาโจทก์

Share