คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1613/2547

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

ข้อเท็จจริงที่ปรากฏในท้องสำนวนจากรายงานการสืบเสาะและพินิจของพนักงานคุมประพฤติ ศาลสามารถนำมาใช้ประกอบดุลพินิจในการกำหนดโทษได้โดยชอบ หาใช่เป็นการรับฟังข้อเท็จจริงนอกฟ้องนอกสำนวนไม่ถูกต้องตาม ป.วิ.อ. ไม่ ฎีกาของจำเลยที่ 2 ประสงค์ให้ศาลฎีกาใช้ดุลพินิจลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษให้แก่จำเลย 2 อันเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการกำหนดโทษของศาล ซึ่งเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงที่มีลักษณะบิดเบือนให้เป็นปัญหาข้อกฎหมาย เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นและให้ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2 ไม่เกินห้าปี จึงห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคหนึ่ง เว้นแต่ผู้พิพากษาคนใดซึ่งพิจารณาหรือลงชื่อในคำพิพากษาหรือทำความเห็นแย้งในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์พิเคราะห์เห็นว่าข้อความที่ตัดสินนั้นเป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลสูงสุดและอนุญาตให้ฎีกา หรืออัยการสูงสุดลงลายมือชื่อรับรองในฎีกาว่ามีเหตุสมควรที่ศาลสูงสุดจะได้วินิจฉัยตาม ป.วิ.อ. มาตรา 221 ก็ให้รับฎีกานั้นไว้พิจารณาต่อไป การที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยที่ 2 โดยมิได้มีการปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.อ. มาตรา 221 ไม่ต้องด้วยบทบัญญัติของกฎหมาย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 335, 357
จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพฐานรับของโจร
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 วรรคแรก ขณะกระทำความผิดจำเลยที่ 1 อายุยังไม่เกินสิบเจ็ดปี ลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 75 แล้ว คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 1 ปี จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 2 ปี จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 6 เดือน จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 1 ปี คำขออื่นให้ยก
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาว่าวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยที่ 2 ฎีกากล่าวอ้างเป็นปัญหาข้อกฎหมายว่า การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 วินิจฉัยว่า ตามรายงานการสืบเสาะและพินิจ จำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 1 นำเครื่องไดนาโมของผู้เสียหายไปขายเพียงเพื่อนำเงินที่ได้ไปซื้อสุราดื่มกับเพื่อน และจำเลยที่ 2 เสพเมทแอมเฟตามีนและรับจ้างซื้อเมทแอมเฟตามีนด้วย การกระทำของจำเลยที่ 2 มีลักษณะไม่เกรงกลัวความผิด เป็นภัยต่อความสงบเรียบร้อยและสวัสดิภาพของสังคม จึงไม่สมควรรอการลงโทษ เป็นการนำข้อเท็จจริงที่ไม่ได้กล่าวอ้างในคำฟ้องมาประกอบการใช้ดุลพินิจและรับฟังข้อเท็จจริงนอกฟ้องนอกสำนวนไม่ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญานั้น เห็นว่า ข้อเท็จจริงดังกล่าวปรากฏในท้องสำนวนจากรายงานการสืบเสาะและพินิจของพนักงานคุมประพฤติ ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 5 สามารถนำมาใช้ประกอบดุลพินิจในการกำหนดโทษได้โดยชอบ หาใช่เป็นการรับฟังข้อเท็จจริงนอกฟ้องนอกสำนวนไม่ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาดังที่จำเลยที่ 2 ฎีกาไม่ ทั้งฎีกาของจำเลยที่ 2 ดังกล่าวก็เป็นไปโดยเพื่อประสงค์ให้ศาลฎีกาใช้ดุลพินิจลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษให้แก่จำเลยที่ 2 อันเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการกำหนดโทษของศาลอุทธรณ์ภาค 5 ซึ่งเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงที่มีลักษณะบิดเบือนให้เป็นปัญหาข้อกฎหมาย เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นและให้ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2 ไม่เกินห้าปี จึงห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง เว้นแต่ผู้พิพากษาคนใดซึ่งพิจารณาหรือลงชื่อในคำพิพากษาหรือทำความเห็นแย้งในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์พิเคราะห์เห็นว่าข้อความที่ตัดสินนั้นเป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลสูงสุดและอนุญาตให้ฎีกาหรืออัยการสูงสุดลงลายมือชื่อรับรองในฎีกาว่ามีเหตุอันควรที่ศาลสูงสุดจะได้วินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 221 ก็ให้รับฎีกานั้นไว้พิจารณาต่อไป ด้วยเหตุนี้ฎีกาของจำเลยที่ 2 จึงต้องห้าม ที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยที่ 2 โดยมิได้มีการปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 221 ไม่ต้องด้วยบทบัญญัติของกฎหมาย ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย”
พิพากษายกฎีกาของจำเลยที่ 2

Share