แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
การที่จำเลยมิได้ร้องขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษาจนล่วงพ้นระยะเวลา 10 ปี ย่อมสิ้นสิทธิที่จะบังคับคดีเอาแก่หนี้ตามคำพิพากษาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 271 แต่จำเลยยังคงมีสิทธิที่จะได้รับชำระหนี้จำนองตามกฎหมาย แต่เมื่อไม่ปรากฏว่าการจำนองที่ดินพิพาทได้ระงับสิ้นไป จำเลยยังคงมีสิทธิจะบังคับจำนอง แม้หนี้ที่ประกันนั้นจะขาดอายุความแล้วก็ตาม แต่จะบังคับเอาดอกเบี้ยที่ค้างชำระในการจำนองเกินกว่า 5 ปี ไม่ได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 745 เมื่อโจทก์เสนอขอชำระหนี้จำนองพร้อมดอกเบี้ยเป็นเวลา 5 ปี แต่จำเลยไม่ยอมรับชำระหนี้ การที่โจทก์นำเงินจำนวนดังกล่าวไปวาง ณ สำนักงานวางทรัพย์กลางเพื่อชำระหนี้จำนองแก่จำเลยจึงเป็นการขอปฏิบัติการชำระหนี้โดยชอบแล้ว จำเลยมีหน้าที่ต้องจดทะเบียนถอนจำเลยที่ดินพิพาทและส่งมอบโฉนดที่ดินคืนแก่โจทก์
คดีก่อน จำเลยฟ้องโจทก์ให้รับผิดชำระหนี้กู้ยืมและบังคับจำนองที่ดิน แต่คดีนี้เป็นคดีที่โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยจดทะเบียนถอนจำนองที่ดินดังกล่าวหลังจากระยะเวลาในการบังคับคดีเดิมได้ล่วงหน้าพ้นไปแล้ว หาเป็นการรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันไม่ จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำตาม ป.วิ.พ. มาตรา 148
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่าโจทก์ทำสัญญาจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 90524 ตำบลลาดยาว (บางซื่อฝั่งเหนือ) อำเภอบางเขน (บางซื่อ) กรุงเทพมหานคร ไว้แก่จำเลย เป็นเงิน 245,000 บาท เพื่อเป็นประกันหนี้เงินกู้และส่งมอบโฉนดที่ดินดังกล่าวไว้แก่จำเลย ต่อมาจำเลยได้ฟ้องโจทก์ให้ชำระหนี้เงินกู้และบังคับจำนองต่อศาลแพ่งตามคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 9104/2525 ศาลมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2525 ตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 13360/2525 คดีถึงที่สุด จำเลยไม่ได้ยื่นคำขอออกหมายบังคับคดีเกินกว่า 10 ปี ต่อมาโจกท์ขอชำระหนี้ตามสัญญาจำนองจำนวน 245,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 12 ต่อปี เป็นเวลา 5 ปี จำนวน 147,000 บาท แต่จำเลยปฏิเสธ โจทก์จึงนำเงินไปวางไว้ที่สำนักงานวางทรัพย์กลาง กรมบังคับคดี ขอให้บังคับจำเลยส่งมอบโฉนดที่ดินดังกล่าวพร้อมจดทะเบียนถอนจำนองที่ดินคืนโจทก์ และรับเงินที่สำนักงานวางทรัพย์กลาง หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลย และขอให้ศาลมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานที่ดินดำเนินการออกใบแทนโฉนดที่ดินข้างต้นให้โจทก์ด้วย
จำเลยให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยจดทะเบียนถอนจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 90524 ตำบลลาดยาว (บางซื่อฝั่งเหนือ) อำเภอบางเขน (บางซื่อ) กรุงเทพมหานคร และส่งมอบโฉนดที่ดินดังกล่าวคืนแก่โจทก์ โดยรับเงินค่าถอนจำนองจำนวน 392,000 บาท จากสำนักงานวางทรัพย์กลาง ถ้าจำเลยไม่ถอนจำนองให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังได้ว่า เดิมโจทก์จำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 90524 ตำบลลาดยาว (บางซื่อฝั่งเหนือ) อำเภอบางเขน (บางซื่อ) กรุงเทพมหานคร ไว้แก่จำเลยเป็นเงินจำนวน 245,000 บาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 12 ต่อปี เพื่อเป็นประกันหนี้เงินกู้ ต่อมาจำเลยฟ้องโจทก์ให้ชำระหนี้เงินกู้และบังคับจำนองต่อศาลแพ่ง ศาลแพ่งพิพากษาให้จำเลยชนะคดี ตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 13360/2525 เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2525 คดีถึงที่สุด แต่จำเลยไม่ได้ดำเนินการบังคับคดีตามคำพิพากษาภายในสิบปีนับแต่วันที่คำพิพากษาถึงที่สุด ต่อมาวันที่ 15 มีนาคม 2542 โจทก์เสนอขอชำระหนี้ตามสัญญาจำนองโดยจะชำระต้นเงินจำนวน 245,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 12 ต่อปี เป็นเวลา 5 ปี คิดเป็นเงินจำนวน 147,000 บาท รวมเป็นเงินจำนวน 392,000 บาท จำเลยปฏิเสธที่จะรับชำระหนี้โดยจะให้โจทก์ชำระหนี้ให้ครบถ้วนตามคำพิพากษาดังกล่าว โจทก์จึงนำเงินจำนวน 392,000 บาท ไปวาง ณ สำนักงานวางทรัพย์กลาง กรมบังคับคดี และแจ้งให้จำเลยทราบขอให้ไปจดทะเบียนถอนจำนองและส่งมอบโฉนดที่ดินคืนแก่โจทก์ จำเลยเพิกเฉย มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยต้องจดทะเบียนถอนจำนองที่ดินพิพาทและส่งมอบโฉนดที่ดินคืนแก่โจทก์โดยรับเงินค่าถอนจำนองจำนวน 392,000 บาท ที่โจทก์วางไว้ ณ สำนักงานวางทรัพย์กลาง ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์หรือไม่ เห็นว่า แม้ศาลแพ่งพิพากษาให้จำเลยชนะคดีโจทก์ตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 13360/2525 และคดีถึงที่สุดแล้ว แต่จำเลยมิได้ร้องขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษาจนล่วงพ้นระยะเวลา 10 ปี ที่จำเลยจะร้องขอให้บังคับคดีแก่โจทก์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271 จำเลยย่อมสิ้นสิทธิที่จะบังคับคดีตามคำพิพากษาดังกล่าวได้อีกต่อไป อย่างไรก็ดี เมื่อไม่ปรากฏว่าการจำนองที่ดินพิพาทได้ระงับสิ้นไป การจำนองที่ดินพิพาทจึงยังคงมีอยู่ ฉะนั้น แม้จำเลยสิ้นสิทธิที่จะบังคับคดีเอาแก่หนี้จำนองตามคำพิพากษาแล้วก็ตาม แต่จำเลยยังคงมีสิทธิที่จะได้รับชำระหนี้จำนองตามกฎหมาย ซึ่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 745 บัญญัติว่า “ผู้รับจำนองจะบังคับจำนองแม้เมื่อหนี้ที่ประกันนั้นขาดอายุความแล้วก็ได้ แต่จะบังคับเอาดอกเบี้ยที่ค้างชำระในการจำนองเกินกว่าห้าปีไม่ได้” ดังนั้น จำเลยจึงมีสิทธิที่จะได้รับชำระหนี้จำนองจากต้นเงินจำนวน 245,000 บาท กับดอกเบี้ยที่ค้างชำระในการจำนองเป็นเวลา 5 ปี เท่านั้น เมื่อโจทก์เสนอขอชำระหนี้ดังกล่าวแต่จำเลยไม่ยอมรับชำระหนี้ การที่โจทก์นำเงินจำนวนดังกล่าวไปวาง ณ สำนักงานวางทรัพย์กลางเพื่อชำระหนี้จำนองแก่จำเลย จึงเป็นการขอปฏิบัติการชำระหนี้จำนองโดยชอบแล้ว จำเลยจึงมีหน้าที่ต้องจดทะเบียนถอนจำนองที่ดินพิพาทและส่งมอบโฉนดที่ดินคืนแก่โจทก์ โดยรับเงินค่าถอนจำนองจำนวน 392,000 บาท ที่โจทก์วางไว้ ณ สำนักงานวางทรัพย์กลาง ส่วนที่จำเลยฎีกาว่าฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 13360/2525 ของศาลชั้นต้น เห็นว่า คดีดังกล่าวเป็นคดีที่จำเลยฟ้องโจทก์ให้รับผิดชำระหนี้กู้ยืม และบังคับจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 90524 แต่คดีนี้เป็นคดีที่โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยจดทะเบียนถอนจำนองที่ดิน ดังกล่าว หลังจากระยะเวลาในการบังคับคดีตามคำพิพากษาในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 13360/2525 ได้ล่วงพ้นไปแล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271 ถือไม่ได้ว่าเป็นการรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน ฟ้องโจทก์จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน