คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3451/2547

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

จำเลยและผู้ตายทะเลาะวิวาทกันเนื่องจากผู้ตายชวน บ. ซึ่งช่วยจำเลยทำสวนไปทำงานที่อื่น เมื่อต่อสู้กันจำเลยใช้มีดอีโต้ฟันผู้ตายจนล้มลงแล้วฟันผู้ตายหลายครั้ง จนผู้ตายถึงแก่ความตาย ผู้เสียหายเข้าไปจะช่วยผู้ตาย จำเลยใช้มีดฟันหน้าผู้เสียหาย 1 ครั้ง แล้ววิ่งหลบหนีไป การกระทำดังกล่าวจึงไม่เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย และการที่จำเลยใช้มีดฟันผู้เสียหายที่เข้าไปจะช่วยเหลือผู้ตาย เป็นการกระทำต่างกรรมและต่างเจตนากับการฆ่าผู้ตาย การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิด 2 กรรม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80, 91, 33 ริบมีดอีโต้ของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น นางสังวาลย์ แสงประเสริฐ มารดาของนายสมชาย อยู่ญาติมาก ผู้ตาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 297 (4) การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษตามมาตรา 91 ฐานฆ่าผู้อื่น จำคุกตลอดชีวิต ฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัส จำคุก 5 ปี เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้ว คงจำคุกตลอดชีวิตสถานเดียวตามมาตรา 91 (3) ริบมีดของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า จำเลยเป็นพี่ของนายบุญส่ง อยู่ญาติมาก ซึ่งเป็นบิดาของนายสมชาย อยู่ญาติมาก ผู้ตาย ก่อนเกิดเหตุนายบุญส่งไปช่วยจำเลยทำสวนและอาศัยนอนอยู่ที่เรือนหลังเล็กข้างบ้านจำเลย คืนเกิดเหตุผู้ตายขับรถจักรยานยนต์ไปที่บ้านจำเลยเพื่อชวนนายบุญส่งไปทำงานรับจ้างดายหญ้า โดยมีนายธนู มาสุข ผู้เสียหายนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ไปกับผู้ตาย ต่อมาปรากฏว่าผู้ตายถูกคนร้ายใช้มีดฟันที่ศีรษะ ลำคอ ไหล่ขวา และข้อมือขวา เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายอยู่ที่หน้าบ้านจำเลย ส่วนผู้เสียหายถูกคนร้ายฟันที่บริเวณมุมปากซ้าย ลำคอด้านซ้ายใต้ใบหูลึกถึงกล้ามเนื้อและทะลุเข้าถึงแก้มได้รับอันตรายสาหัส มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อแรกว่า จำเลยกระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 หรือไม่ โจทก์และโจทก์ร่วมมีนายธนูผู้เสียหายและนายบุญส่งบิดาของผู้ตายมาเบิกความว่าก่อนเกิดเหตุผู้ตายขับรถจักรยานยนต์ โดยมีผู้เสียหายนั่งซ้อนท้ายไปที่บ้านของจำเลยผู้ตายชวนนายบุญส่งไปทำงานรับจ้างดายหญ้า แต่จำเลยไม่ให้นายบุญส่งไปทำงานเพราะผู้ตายไม่บอกว่าจะได้ค่าจ้างเท่าไร จำเลยและผู้ตายจึงทะเลาะวิวาทกันนายบุญส่งเข้าห้ามจนทั้งสองฝ่ายแยกออกจากกัน ผู้ตายเดินออกจากบ้านตรงไปยังรถจักรยานยนต์ของตน จำเลยถือมีดอีโต้ของกลางตามไปหาผู้ตาย ผู้ตายหยิบท่อนไม้ขึ้นมาต่อสู้กับจำเลยแต่สู้ไม่ได้ ผู้ตายถูกฟันจนล้มลง จำเลยฟันซ้ำอีกหลายครั้งผู้ตายร้องเรียกให้ผู้เสียหายช่วย ผู้เสียหายวิ่งเข้าไปจะช่วยผู้ตาย จำเลยใช้มีดฟันไปที่หน้าผู้ตายแล้ววิ่งหนีไป เห็นว่า แม้ขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางคืน แต่พยานโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสองปากเห็นจำเลยในระยะใกล้และเห็นเป็นเวลานานอีกทั้งมีการโต้เถียงและห้ามปรามกัน นายบุญส่งเป็นน้องของจำเลย ก่อนเกิดเหตุพยานโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสองปากไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลย เมื่อเบิกความสอดคล้องต้องกันในสาระสำคัญ คำเบิกความดังกล่าวจึงมีน้ำหนักน่าเชื่อส่วนที่จำเลยนำสืบว่าจำเลยถูกผู้ตายและผู้เสียหายรุมทำร้ายก่อน จำเลยจึงเหวี่ยงมีดเพื่อป้องกันตน และผู้เสียหายเป็นผู้แทงลำคอของผู้ตายนั้น มีเพียงคำเบิกความลอยๆ ของจำเลยและขัดต่อเหตุที่ผู้เสียหายจะแทงลำคอผู้ตาย ทั้งๆ ที่ไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกัน พยานหลักฐานของจำเลยจึงไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วม ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยและผู้ตายทะเลาะวิวาทกันเนื่องจากผู้ตายชวนนายบุญส่งซึ่งช่วยจำเลยทำสวนไปทำงานที่อื่น เมื่อต่อสู้กันจำเลยใช้มีดอีโต้ฟันผู้ตายจนล้มลง แล้วฟันผู้ตายหลายครั้งจนผู้ตายถึงแก่ความตายผู้เสียหายเข้าไปจะช่วยผู้ตาย จำเลยใช้มีดฟันหน้าผู้เสียหาย 1 ครั้งแล้ววิ่งหลบหนีไปการกระทำดังกล่าวจึงไม่เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายดังที่จำเลยฎีกาฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
จำเลยฎีกาข้อที่สองว่า การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำกรรมเดียว ผิดกฎหมายหลายบท เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ดังกล่าวข้างต้น การที่จำเลยใช้มีดฟันผู้เสียหายที่เข้าไปจะช่วยเหลือผู้ตาย เป็นการกระทำต่างกรรมและต่างเจตนากับการฆ่าผู้ตาย การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิด 2 กรรม ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
จำเลยฎีกาข้อสุดท้ายว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 7 ลงโทษจำเลยหนักเกินไป เห็นว่า สำหรับความผิดฐานฆ่าผู้ตาย ได้ความว่าผู้ตายเป็นหลานของจำเลยดื่มสุราแล้วไปที่บ้านจำเลยซึ่งเป็นลุง มีการโต้เถียงและวิวาทกันในบ้านจำเลย จนกระทั่งจำเลยได้รับบาดเจ็บมีรอยเลือดทั่วบริเวณบ้าน ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 ลงโทษจำคุกจำเลยตลอดชีวิตนั้น เห็นว่า เป็นการลงโทษที่หนักเกินไป ศาลฎีกาเห็นสมควรกำหนดโทษเสียใหม่ให้เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งคดี ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ฐานฆ่าผู้อื่นให้ลงโทษจำคุก 20 ปี เมื่อรวมกับโทษในความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัสแล้ว คงลงโทษจำคุก 25 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7

Share