คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3430/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

มีคนร้ายลักโฉนดที่ดินพิพาทไปจาก ส. ผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์แล้วปลอมลายพิมพ์นิ้วมือของ ส. ในหนังสือมอบอำนาจ และใช้หนังสือมอบอำนาจปลอมนั้นไปจดทะเบียนโอนขายที่ดินต่อกันมาเป็นทอด ๆน. เป็นผู้รับโอนที่ดินพิพาทคนหลังสุด เมื่อ ส. ฟ้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาททุกทอดจนในที่สุดศาลฎีกาพิพากษาเพิกถอนการโอนที่ดินพิพาท จึงต้องถือว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของ ส. เจ้าของเดิมมาโดยตลอด แม้จำเลยรับจำนองที่ดินพิพาทจาก น. ซึ่งมิใช่เจ้าของโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน ทั้งได้จดทะเบียนโดยสุจริต ก็ไม่ใช่เหตุที่จะพึงยกขึ้นกล่าวอ้างยันผู้เป็นเจ้าของที่แท้จริงได้ เมื่อจำเลยรับจำนองที่ดินพิพาทไว้จากผู้ที่มิใช่เป็นเจ้าของที่แท้จริงการจำนองก็ไม่ผูกพันผู้เป็นเจ้าของที่แท้จริงเพราะเป็นฝ่าฝืนประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 705

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของนางสาวสำเภา สุขอาบใจ แต่เดิมนางสาวสำเภาซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินมีโฉนดแปลงหนึ่งได้ยื่นฟ้องนายเผย ธรรมชาติกับพวกรวม 6 คน เป็นจำเลย เป็นใจความว่าได้มีผู้ลักโฉนดที่ดินดังกล่าวไป แล้วปลอมลายพิมพ์นิ้วมือของนางสาวสำเภาในหนังสือมอบอำนาจ แล้วนายเผยได้นำไปจดทะเบียนโอนที่ดินดังกล่าวให้แก่ผู้อื่น ขอให้เพิกถอนการโอนทุกทอดและให้กรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าวกลับคืนแก่นางสาวสำเภา คดีดังกล่าวถึงที่สุดแล้วโดยศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลล่างทั้งสองให้เพิกถอนการโอนและให้กรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าวกลับคืนเป็นของนางสาวสำเภาแต่ในระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้นในคดีดังกล่าวนายนิพนธ์ซึ่งเป็นจำเลยที่ 6 ได้นำที่ดินดังกล่าวไปจดทะเบียนจำนองไว้กับจำเลย ต่อมานางสาวสำเภาถึงแก่กรรม โจทก์จึงแจ้งให้จำเลยจดทะเบียนเพิกถอนการจำนอง แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยไปจดทะเบียนเพิกถอนการจำนองระหว่างนายนิพนธ์กับจำเลย หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามขอให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยและให้จำเลยคืนโฉนดที่ดินดังกล่าวแก่โจทก์ด้วย
จำเลยให้การว่า จำเลยรับจำนองที่ดินพิพาทไว้โดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน และได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้ว จำเลยไม่เคยทราบว่านายนิพนธ์ถูกดำเนินคดีเกี่ยวกับที่ดินพิพาท โจทก์ใช้สิทธิไม่สุจริตเพราะโจทก์ไม่อายัดหรือห้ามมิให้ทำนิติกรรมใด ๆ เกี่ยวกับที่ดินพิพาท ถือว่าโจทก์ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยดำเนินการจดทะเบียนเพิกถอนจำนองที่ดินพิพาทระหว่างนายนิพนธ์กับจำเลย และให้จำเลยคืนโฉนดให้โจทก์โดยปลอดจำนอง หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่า มีคนร้ายลักโฉนดที่ดินพิพาทซึ่งมีนางสาวสำเภา สุขอาบใจ มีชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ แล้วปลอมลายพิมพ์นิ้วมือของนางสาวสำเภาลงในช่องผู้มอบอำนาจในหนังสือมอบอำนาจ หลังจากนั้นนายเผย ธรรมชาติ ได้ใช้หนังสือมอบอำนาจปลอมฉบับนั้นไปจดทะเบียนโอนขายที่ดินพิพาทให้แก่นายสุเทพ นิ่มคำ นายสุเทพได้จดทะเบียนขายฝากที่ดินพิพาทให้แก่นายประสิทธิ์ ศิริศีล นายประสิทธิ์ได้จดทะเบียนโอนขายที่ดินพิพาทให้แก่นางสาวอรุณ คชภรภรณี นางสาวอรุณได้จดทะเบียนโอนให้ที่ดินพิพาทให้แก่นายสุชาติ คชภรภรณ์ นายสุชาติได้จดทะเบียนโอนขายที่ดินพิพาทให้แก่นายนิพนธ์ อุดมมะนะ ต่อมาวันที่18 กันยายน 2523 นายนิพนธ์ได้จดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาทไว้กับจำเลยและเมื่อวันที่ 25 มกราคม 2523 นางสาวสำเภาได้เป็นโจทก์ฟ้องเรียกให้นายเผยกับพวกคืนที่ดินพิพาท ในระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น นายนิพนธ์ซึ่งเป็นผู้รับโอนที่ดินพิพาทคนหลังสุดได้จำนองที่ดินไว้กับจำเลย ต่อมาคดีดังกล่าวถึงที่สุดโดยศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลล่างทั้งสองให้เพิกถอนการโอนขายที่ดินระหว่างนางสาวสำเภากับนายสุเทพและการโอนถัดมาทุกทอด ให้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทกลับเป็นของนางสาวสำเภา หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา ต่อมานางสาวสำเภาถึงแก่กรรมและโจทก์ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้จัดการมรดกแล้ววินิจฉัยว่าเมื่อข้อเท็จจริงได้ความดังกล่าวมาแล้ว การจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทแต่ละทอดจนถึงนายนิพนธ์ผู้รับโอนคนสุดท้ายจึงเท่ากับเป็นการเอาทรัพย์ของนางสาวสำเภาไปขายโดยไม่มีอำนาจซึ่งนางสาวสำเภามีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาททุกทอดให้กรรมสิทธิ์กลับเป็นของนางสาวสำเภา ดังที่นางสาวสำเภาได้ใช้สิทธิและศาลฎีกาได้พิพากษาให้นางสาวสำเภาชนะคดีตามคำฟ้อง จึงต้องถือว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของนางสาวสำเภามาโดยตลอด แม้จะฟังว่าจำเลยรับจำนองที่ดินพิพาทจากนายนิพนธ์โดยสุจริตเสียค่าตอบแทนทั้งได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริต ก็ไม่ใช่เหตุที่จะพึงยกขึ้นกล่าวอ้างยันแก่นางสาวสำเภาผู้เป็นเจ้าของที่แท้จริงได้เมื่อจำเลยรับจำนองที่ดินพิพาทไว้จากผู้อื่นที่มิใช่เป็นเจ้าของที่แท้จริง การจำนองก็ไม่ผูกพันผู้เป็นเจ้าของที่แท้จริงเพราะเป็นการจำนองที่ฝ่าฝืนประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 705นอกจากนี้ผู้ที่เป็นเจ้าของที่แท้จริงมีสิทธิที่จะติดตามเอาทรัพย์นั้นคืนได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336 ฉะนั้นโจทก์ซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกของนางสาวสำเภาเจ้าของที่แท้จริงจึงมีสิทธิฟ้องขอให้บังคับจำเลยไปจดทะเบียนเพิกถอนการจำนองที่ดินพิพาทระหว่างนายนิพนธ์กับจำเลย และให้จำเลยคืนโฉนดที่ดินพิพาทให้โจทก์โดยปลอดจำนอง
พิพากษายืน

Share