คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 343/2551

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยทั้งหกให้การแต่เพียงว่า บ. เป็นผู้รับเหมาก่อสร้างแต่ใช้ชื่อห้างโจทก์เป็นคู่สัญญากับจำเลยที่ 1 โจทก์มอบอำนาจให้ บ. เป็นผู้รับเงินค่าจ้างแทน จำเลยทั้งหกจึงไม่ต้องรับผิดชำระเงินให้แก่โจทก์อีก และศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า โจทก์ได้รับเงินค่าจ้างก่อสร้างปรับปรุงถนนตามฟ้องจากจำเลยที่ 1 ไว้ถูกต้องแล้วหรือไม่ และจำเลยทั้งหกและจำเลยร่วมต้องรับผิดต่อโจทก์หรือไม่ เพียงใด ที่จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ว่าโจทก์เชิดจำเลยร่วมขึ้นเป็นตัวแทนก็ดี หรือการที่โจทก์ลงลายมือชื่อของตนไว้ในหนังสือมอบอำนาจและให้จำเลยร่วมนำหนังสือดังกล่าวมากรอกข้อความในทำนองว่าโจทก์มอบอำนาจให้จำเลยร่วมเป็นผู้รับเงินแทน ถือเป็นความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของโจทก์ จำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ก็ดี ล้วนแต่เป็นการอุทธรณ์ในข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรคหนึ่ง และไม่ใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ศาลอุทธรณ์ภาค 4 วินิจฉัยให้ก็เป็นการไม่ชอบ ฎีกาของจำเลยจึงเป็นฎีกาในข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลล่างทั้งสอง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามมาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัด มีนายชัยรัตน์ ชัยพิพัฒน์มงคล เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทเทศบาลมีจำเลยที่ 2 เป็นนายกเทศมนตรี จำเลยที่ 3 เป็นปลัดเทศบาล จำเลยที่ 4 เป็นผู้อำนวยการกองช่าง จำเลยที่ 5 เป็นผู้อำนวยการกองคลัง และจำเลยที่ 6 เป็นเจ้าหน้าที่ธุรการปฏิบัติหน้าที่แทนเจ้าพนักงานการเงิน เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2544 โจทก์กับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้ทำสัญญาจ้างเหมาก่อสร้างปรับปรุงถนน ค.ส.ล. จำนวน 3 สัญญา รวมเป็นเงินค่าจ้าง 754,000 บาท โจทก์ดำเนินการก่อสร้างจนแล้วเสร็จตามสัญญาจึงมีหนังสือส่งมอบงานและขอให้จำเลยทั้งหกชำระค่าจ้างให้แก่โจทก์ แต่จำเลยทั้งหกกลับร่วมกันอนุมัติจ่ายเงินค่าจ้างให้แก่นายบุญชู ประสังสิต ซึ่งมิใช่เป็นผู้ที่มีอำนาจรับเงินแทนโจทก์ การกระทำของจำเลยทั้งหกทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย จำเลยทั้งหกต้องร่วมกันหรือแทนกันชำระค่าจ้างดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำชำระเสร็จ ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 ร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินค่าจ้างจำนวน 754,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งหกให้การว่า จำเลยที่ 3 ถึงที่ 6 เป็นเพียงเจ้าหน้าที่ตรวจสอบความถูกต้องของหลักฐานการเบิกจ่ายเงินเท่านั้น มิได้มีอำนาจจ่ายเงินค่าจ้างตามฟ้อง อำนาจอนุมัติจ่ายเงินค่าจ้างเป็นของจำเลยที่ 2 ซึ่งกระทำการแทนจำเลยที่ 1 นายบุญชู ประสังสิต เคยเป็นและมีชื่อเป็นหุ้นส่วนอยู่ในห้างโจทก์ นายบุญชูเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างปรับปรุงถนน ค.ส.ล. ที่แท้จริง เพียงแต่ใช้ชื่อโจทก์เป็นคู่สัญญากับจำเลยที่ 1 เท่านั้น ดังนั้นโจทก์จึงมอบอำนาจให้นายบุญชูเป็นผู้รับเงินค่าจ้างแทน จำเลยทั้งหกจึงไม่ต้องรับผิดชำระเงินให้แก่โจทก์อีก แต่หากข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ต้องรับผิดต่อโจทก์อันเนื่องมาจากการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 โจทก์ก็อาจฟ้องจำเลยที่ 1 ได้โดยตรง แต่หาอาจฟ้องจำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 ให้รับผิดได้ไม่ ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา จำเลยทั้งหกยื่นคำร้องขอให้เรียกนายบุญชู ประสังสิต เข้ามาเป็นจำเลยร่วม เพราะจำเลยทั้งหกอาจฟ้องเพื่อการใช้สิทธิไล่เบี้ยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57 (3) ศาลชั้นต้นอนุญาต
จำเลยร่วมให้การว่า โจทก์มีหุ้นส่วนเพียง 2 คน คือ จำเลยร่วมกับนายชัยรัตน์ ชัยพิพัฒน์มงคล โดยนายชัยรัตน์เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ แต่ในทางปฏิบัตินายชัยรัตน์จะมอบหมายให้จำเลยร่วมเป็นผู้ดำเนินการต่าง ๆ แทน ตลอดจนรับเงินค่าจ้างจากผู้ว่าจ้างเมื่องานแล้วเสร็จด้วย นายชัยรัตน์ได้มอบหมายให้จำเลยร่วมเป็นผู้ดำเนินการก่อสร้างปรับปรุงถนน ค.ส.ล. ตามที่จำเลยที่ 1 ว่าจ้างจนแล้วเสร็จทั้งสามโครงการ หลังจากนั้นได้มอบหมายให้จำเลยร่วมไปรับเงินค่าก่อสร้างจากจำเลยที่ 1 เมื่อได้รับเงินแล้วจำเลยร่วมนำไปชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ของห้างโจทก์ ส่วนที่เหลือซึ่งเป็นกำไรแบ่งครึ่งแล้วนำไปมอบให้นายชัยรัตน์ แต่นายชัยรัตน์ไม่ยอมรับ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และจำเลยร่วมร่วมกันชำระเงินจำนวน 746,953.27 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์กับให้จำเลยที่ 1 และจำเลยร่วมร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 ให้เป็นพับ
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืน ให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้ 5,000 บาท
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้จำเลยทั้งหกให้การแต่เพียงว่า นายบุญชูเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างแต่ใช้ชื่อห้างโจทก์เป็นคู่สัญญากับจำเลยที่ 1 โจทก์มอบอำนาจให้นายบุญชูเป็นผู้รับเงินค่าจ้างดังกล่าวแทน จำเลยทั้งหกจึงไม่ต้องรับผิดชำระเงินให้แก่โจทก์อีก และศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า โจทก์ได้รับเงินค่าจ้างก่อสร้างปรับปรุงถนน ค.ส.ล. ตามฟ้องจากจำเลยที่ 1 ไว้ถูกต้องแล้วหรือไม่ และจำเลยทั้งหกและจำเลยร่วมต้องรับผิดต่อโจทก์หรือไม่ เพียงใด ที่จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ว่าโจทก์เชิดจำเลยร่วมขึ้นเป็นตัวแทนก็ดี หรือที่อุทธรณ์ว่า การที่โจทก์ลงลายมือของตนไว้ในหนังสือมอบอำนาจและให้จำเลยร่วมนำหนังสือดังกล่าวมากรอกข้อความในทำนองว่าโจทก์มอบอำนาจให้จำเลยร่วมเป็นผู้รับเงินแทน ถือเป็นความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของโจทก์ จำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ก็ดีล้วนแต่เป็นการอุทธรณ์ในข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง และไม่ใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ศาลอุทธรณ์ภาค 4 วินิจฉัยให้ก็เป็นการไม่ชอบ ฎีกาของจำเลยจึงเป็นฎีกาในข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลล่างทั้งสอง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย”
พิพากษายกฎีกาของจำเลยที่ 1 และยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 คืนค่าธรรมเนียมศาลทั้งหมดในชั้นฎีกาแก่จำเลยที่ 1 ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกานอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ

Share