แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้สัญญาจะใช้ชื่อว่า สัญญารับสภาพหนี้ แต่ข้อความในสัญญาว่าจำเลยยอมรับว่าได้สั่งจ่ายเช็คจำนวน 800,000 บาท และยอมรับว่ามีหนี้ดังกล่าวอยู่กับโจทก์ตามมูลหนี้ดังกล่าวจริง กับยอมชำระให้โจทก์ 400,000 บาท โดยผ่อนชำระเป็นงวดจนกว่าจะชำระเสร็จ หนี้จำนวนที่เหลือตกลงให้โจทก์เรียกร้องเอาจากบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ เสรีสากลธนกิจ จำกัด เห็นได้ชัดว่าเป็นการที่โจทก์จำเลยทั้งสองฝ่ายระงับข้อพิพาทที่มีขึ้นตามมูลหนี้ตั๋วเงินนั้นให้เสร็จไปด้วยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน จึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850หาใช่เป็นการรับสภาพหนี้โดยกำหนดเวลาและเงื่อนไขให้จำเลยชำระหนี้และมีอายุความ 10 ปี ตามมาตรา 168 โจทก์บรรยายถึงมูลหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความมาในฟ้องของโจทก์โดยชัดเจนแล้ว ถือได้ว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาในศาลชั้นต้นแล้ว.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระเงิน 438,557.53 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของเงินจำนวน 389,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า คดีโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระต้นเงินที่ค้างชำระจำนวน389,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 18 มกราคม 2528 จนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า แม้เอกสารดังกล่าวจะใช้ชื่อเรียกว่า สัญญารับสภาพหนี้ก็ตาม แต่ข้อความในสัญญาข้อ 1 และข้อ 2 ที่ว่า จำเลยยอมรับว่าได้สั่งจ่ายเช็คจำนวน 800,000 บาท และยอมรับว่ามีหนี้ดังกล่าวอยู่กับโจทก์ตามมูลหนี้ดังกล่าวจริง กับยอมตกลงชำระหนี้ให้กับโจทก์เป็นจำนวนเงิน 400,000 บาท โดยผ่อนชำระเป็นงวด ๆ จนกว่าจะชำระเสร็จสิ้น ส่วนหนี้จำนวนที่เหลือตกลงให้โจทก์เรียกร้องเอาจากบริษัทเครดิตฟองซิเอร์เสรีสากลธนกิจ จำกัด ต่อไป นั้น เห็นได้ชัดว่าเป็นการที่โจทก์จำเลยทั้งสองฝ่ายระงับข้อพิพาทที่มีขึ้นตามมูลหนี้ตั๋วเงินนั้นให้เสร็จไปด้วยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน จึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850 กรณีหาใช่เป็นเพียงการรับสภาพหนี้โดยกำหนดเวลาและเงื่อนไขให้จำเลยชำระหนี้ดังที่จำเลยฎีกาไม่ และสิทธิเรียกร้องอันตั้งหลักฐานขึ้นโดยสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวนี้มีอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 168 เมื่อสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวได้ทำขึ้นเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2526 และโจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2529 คดีของโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า ประเด็นในเรื่องสัญญาประนีประนอมยอมความไม่ได้มีการว่ากล่าวกันมาในศาลชั้นต้น ฎีกาของโจทก์ในประเด็นนี้จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 นั้น เห็นว่า โจทก์ได้บรรยายถึงมูลหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความมาในฟ้องของโจทก์โดยชัดเจนแล้ว จึงถือได้ว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาในศาลชั้นต้นแล้ว ฎีกาของโจทก์จึงไม่ต้องห้าม
พิพากษายืน.