แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยไม่มีสาเหตุกับผู้ตายเมื่อ อ. ซึ่งถูกผู้ตาย ไล่ฟันวิ่งมาหลบอยู่หลังจำเลยและผู้ตายตามมาฟัน อ. จำเลยพูดกับผู้ตายว่าจำเลยไม่เกี่ยวข้องนั้นเป็นการแสดงให้เห็นว่าจำเลยไม่ได้เข้าช่วยเหลือ อ.ไม่ได้เกี่ยวข้องในเหตุการณ์ระหว่างอ.กับผู้ตาย ทั้งไม่ได้สมัครใจเข้าต่อสู้กับผู้ตายแต่อย่างใด ผู้ตายตามมาฟัน อ.ซึ่งวิ่งมาหลบอยู่หลังจำเลยเมื่ออ.หลบหนีไปแล้ว ผู้ตายใช้มีดฟันถูกบริเวณแก้มซ้ายของจำเลย แสดงว่าผู้ตายเป็นฝ่ายก่อเหตุขึ้นก่อนโดยใช้มีดฟันถูกจำเลย จำเลยเข้าแย่งมีดได้จากผู้ตาย ผู้ตายกับพวกจะเข้ามาทำร้ายจำเลยอีก จำเลยจึงใช้มีดแทงผู้ตายหนึ่งครั้งแล้ววิ่งหนีไป เช่นนี้ฟังได้ว่าภัยที่เกิดขึ้นแก่จำเลยยังมีอยู่ การที่จำเลยใช้มีดแทงผู้ตายไปเพียงหนึ่งครั้ง จึงเป็นการกระทำเพื่อป้องกันพอสมควรแก่เหตุตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68 ไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288
ย่อยาว
โจทก์ฟ้อง ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288,371, 91, 33 และริบอาวุธมีดของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 จำคุก 20 ปี อาวุธมีดของกลางให้ริบ คำขออื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องในความผิดตามมาตรา 288เสียด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้จากพยานหลักฐานโจทก์และจำเลยว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้องนายเอ เจริญสุข ผู้ตายซึ่งมีสาเหตุกับนายอ้วน เก่งกระโทกใช้มีดดาบไล่ฟันนายอ้วน นายอ้วนจึงวิ่งเข้ามาหลบหลังจำเลยผู้ตายตามมาฟันนายอ้วนซึ่งหลบอยู่หลังจำเลย หลังจากนั้นจำเลยเข้ากอดปล้ำแย่งมีดจากผู้ตาย จำเลยถูกฟันเป็นบาดแผลที่บริเวณใบหน้าด้านซ้าย ส่วนผู้ตายถูกจำเลยใช้มีดที่แย่งได้จากผู้ตายแทงถึงแก่ความตาย มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ที่จำเลยใช้มีดแทงผู้ตายนั้น เป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุหรือไม่ ในข้อนี้ได้ความจากพยานโจทก์และจำเลยว่า จำเลยไม่มีสาเหตุกับผู้ตายเมื่อนายอ้วนซึ่งถูกผู้ตายไล่ฟันวิ่งมาหลบอยู่หลังจำเลยและผู้ตายตามมาฟันนายอ้วน จำเลยพูดบอกผู้ตายว่าจำเลยไม่เกี่ยวข้องนั้นเป็นการแสดงให้เห็นว่าจำเลยไม่ได้เข้าช่วยเหลือนายอ้วนไม่ได้เกี่ยวข้องในเหตุการณ์ระหว่างนายอ้วนกับผู้ตาย ทั้งไม่ได้สมัครใจเข้าต่อสู้กับผู้ตายแต่อย่างใด เมื่อนายอ้วนหลบหนีไปแล้วโจทก์ไม่มีพยานมาเบิกความให้เห็นว่าจำเลยใช้มีดแทงผู้ตายในลักษณะใดเมื่อใด คงปรากฏตามคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยว่าเมื่อนายอ้วนหลบหนีไปแล้ว ผู้ตายใช้มีดฟันถูกบริเวณแก้มซ้ายของจำเลยก่อน จำเลยจึงเข้ากอดปล้ำและแย่งมีดมาจากผู้ตายเพื่อนผู้ตายถือมีดพกสั้นปลายแหลมตรงเข้ามาหาจำเลย ส่วนผู้ตายก็วิ่งเข้ามาหาจำเลยในลักษณะจะเข้ามาแย่งมีดจากจำเลย จำเลยจึงแทงผู้ตาย ซึ่งคำให้การของจำเลยดังกล่าวสอดคล้องกับคำให้การของร้อยตำรวจโทธวัชชัย กำแหงพล กับพฤติการณ์ในบันทึกการจับกุมและคำเบิกความของพันตำรวจโทพิมล ศรีพิณ ฟังได้ว่าผู้ตายเป็นฝ่ายก่อเหตุขึ้นก่อนโดยใช้มีดฟันถูกจำเลย จำเลยเข้าแย่งมีดได้จากผู้ตาย ผู้ตายกับพวกจะเข้ามาทำร้ายจำเลยอีก จำเลยจึงใช้มีดแทงผู้ตายหนึ่งครั้งแล้ววิ่งหนีไป เช่นนี้ฟังได้ว่าภัยที่เกิดขึ้นแก่จำเลยยังมีอยู่ การที่จำเลยใช้มีดแทงผู้ตายไปเพียงหนึ่งครั้งเป็นการกระทำเพื่อป้องกันพอสมควรแก่เหตุตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 68 ไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288
พิพากษายืน