คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3427/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยให้การว่า โจทก์ทราบข้อทักท้วงของกระทรวงการคลังแล้วไม่ฟ้องภายใน 1 ปี คดีจึงขาดอายุความ เป็นคำให้การที่ชัดแจ้งและแสดงเหตุแห่งการขาดอายุความ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 177 วรรคสอง แล้ว ส่วนอายุความที่จำเลยยกขึ้นต่อสู้จะต้องด้วยบทกฎหมายลักษณะใด เป็นหน้าที่ศาลจะยกขึ้นวินิจฉัยเอง โจทก์เบิกเงินจากคลังจ่ายสมนาคุณแก่จำเลยโดยผิดระเบียบราชการเงินจำนวนดังกล่าวโจทก์ไม่มีหน้าที่ต้องจ่ายให้จำเลย และจำเลยไม่มีสิทธิรับเงินจำนวนนี้ การที่จำเลยรับเงินไปเป็นการได้มาโดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ และเป็นทางให้โจทก์เสียเปรียบเงินจำนวนดังกล่าวจึงเป็นลาภมิควรได้ โจทก์ฟ้องคดีเมื่อพ้นกำหนด1 ปี นับแต่โจทก์รู้ว่าตนมีสิทธิเรียกคืน คดีโจทก์จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 419

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มีคำสั่งแต่งตั้ง จำเลยเป็นผู้ทรงคุณวุฒิมีหน้าที่เรียบเรียงหนังสือดรรชนีพระไตรปิฏกตอน 3 และตอน 4 จำเลยเรียบเรียงหนังสือดังกล่าว จนแล้วเสร็จ โจทก์ได้จ่ายเงินสมนาคุณแก่จำเลยจำนวน 3,750 บาท ซึ่งเป็นการจ่ายโดยผิดระเบียบ เพราะการที่จำเลยเรียบเรียงหนังสือนั้นเป็นการปฏิบัติหน้าที่ในราชการตามปกติและจำเลยไม่ใช่ผู้ทรงคุณวุฒิ โจทก์จึงได้มีบันทึกเรียกให้จำเลยส่งเงินจำนวน ดังกล่าวคืนโจทก์ แต่จำเลยเพิกเฉย ทำให้โจทก์เสียหายเพราะโจทก์ยังเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในเงินจำนวนดังกล่าว และมีสิทธิติดตามเอาคืนจากจำเลยได้ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 4,453 บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า งานเรียบเรียงหนังสือตามโครงการของโจทก์เป็นงานนอกหน้าที่ของจำเลย จำเลยมีสิทธิได้รับเงินสมนาคุณตามระเบียบโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง โจทก์ทราบข้อทักท้วงของกระทรวงการคลังแล้ว แต่ฟ้องคดีนี้เมื่อเกิน 1 ปี คดีโจทก์จึงขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 7,750 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาประการว่า คำให้การของจำเลยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ จำเลยให้การว่า โจทก์ทราบข้อทักท้วงของกระทรวงการคลังแล้วไม่ฟ้องภายใน 1 ปี เห็นว่า ตามคำให้การของจำเลยดังกล่าว เป็นคำให้การที่ชัดแจ้งและแสดงเหตุแห่งการขาดอายุความ ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177วรรคสอง แล้ว ส่วนอายุความที่จำเลยยกขึ้นต่อสู้นั้น จะต้องด้วยกฎหมายลักษณะใด เป็นหน้าที่ของศาลจะยกขึ้นวินิจฉัยเอง ฉะนั้นศาลอุทธรณ์จึงมีอำนาจยกอายุความเรื่องลาภมิควรได้ขึ้นวินิจฉัย
และวินิจฉัยปัญหาว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความฐานลาภมิควรได้หรือไม่ว่าศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ได้เบิกเงินจากคลังจ่ายสมนาคุณแก่จำเลยจำนวน 3,750 บาท เพื่อตอบแทนการที่จำเลยซึ่งได้รับแต่งตั้งจากโจทก์ให้เป็นผู้ทรงคุณวุฒิเรียบเรียงหนังสือดรรชนีพระไตรปิฏกตอน 3 และ 4 แล้วเสร็จ ปรากฏว่าการจ่ายเงินของโจทก์ให้แก่จำเลยดังกล่าวเป็นการจ่ายผิดระเบียบราชการเพราะจำเลยไม่มีสิทธิได้รับ เนื่องจากเป็นการปฏิบัติหน้าที่ราชการตามปกติ และจำเลยมิใช่ผู้ทรงคุณวุฒิ และโจทก์ทราบว่ามีสิทธิเรียกเงินคืนตั้งแต่วันที่ 29 กรกฎาคม 2529 ศาลฎีกาเห็นว่า เงินจำนวน 7,750 บาท นี้ โจทก์ไม่มีหน้าที่ต้องจ่ายให้จำเลยและจำเลยก็ไม่มีสิทธิรับเงินจำนวนดังกล่าว การที่จำเลยรับเอาเงินของโจทก์ไปจึงเป็นการได้มาโดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ และเป็นทางให้โจทก์เสียเปรียบ เงินจำนวนดังกล่าวจึงเป็นลาภมิควรได้โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2532 พ้นกำหนดหนึ่งปีนับแต่โจทก์รู้ว่าตนมีสิทธิเรียกคืน คดีโจทก์จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 419 คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share