คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 738/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ฟ้องแย้งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้โจทก์จะไม่ได้อุทธรณ์โต้แย้งขึ้นมา ศาลอุทธรณ์ก็ชอบที่จะยกขึ้นวินิจฉัยได้เอง โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์ด้วยการสร้างประตูเหล็กปิดกั้นซอยทางเข้าออกระหว่างซอยกับโกดังเก็บสินค้าของโจทก์ ขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนประตูเหล็กนั้นและใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่าจำเลยมีสิทธิปิดกั้นประตูเหล็กดังกล่าว โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาเช่าด้วยการปลูกสร้างอาคารในที่ดินที่เช่าจากจำเลยไม่ตรงตามสัญญา ขอให้ขับไล่และใช้ค่าเสียหายแก่จำเลย ดังนี้คำฟ้องแย้งของจำเลยที่โจทก์ประพฤติผิดสัญญาเช่าหรือไม่อย่างไรไม่ได้เกี่ยวกับคำฟ้องเดิม ชอบที่ศาลชั้นต้นจะสั่งไม่รับฟ้องแย้งของจำเลย และให้จำเลยฟ้องเป็นคดีต่างหาก

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2519 นายเที้ย แซ่ฮึงบิดาของโจทก์ได้เช่าที่ดินจากจำเลยเพื่อปลูกอาคารมีกำหนด 10 ปีครบกำหนดเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2529 ซึ่งบิดาโจทก์ได้ปลูกเป็นห้องแถวอาคารพาณิชย์ 2 ชั้น 2 คูหา และใช้เป็นสถานที่ประกอบการค้าวัสดุก่อสร้างมีข้อตกลงว่าให้กรรมสิทธิ์ในอาคารที่ปลูกสร้างอาคารตกเป็นของจำเลยทันทีเมื่อก่อสร้างเสร็จ ต่อมาโจทก์ได้ทำสัญญาเช่าที่ดินจากจำเลยอีกแปลงหนึ่ง ซึ่งอยู่ติดด้านหลังอาคารดังกล่าวโดยทำสัญญาเช่าเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2521 มีกำหนด 15 ปี ซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ 1 มกราคม 2536 โจทก์ได้ปลูกโกดังเก็บสินค้า3 คูหามีข้อตกลงว่าให้กรรมสิทธิ์ในโกดังดังกล่าวตกเป็นของจำเลยทันทีเมื่อปลูกสร้างเสร็จเช่นกัน วันที่ 20 กรกฎาคม 2529 จำเลยนำประตูเหล็กจำนวน 2 บาน มาปิดกั้นซอยซึ่งโจทก์ใช้เป็นทางเข้าออกระหว่างถนนราชวิถีกับโกดังสินค้าของโจทก์ ทั้ง ๆ ที่สัญญาเช่าที่ดินเพื่อปลูกสร้างโกดังยังมีเวลาเหลืออีก 6 ปีเศษ โจทก์ได้ขอให้จำเลยรื้อถอนประตูเหล็กทั้งสองบานออกไป แต่จำเลยเพิกเฉย การกระทำของจำเลยทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายเพราะโจทก์ไม่สามารถนำรถยนต์แล่นเข้าไปบรรทุกสินค้า ซึ่งเป็นวัสดุก่อสร้างได้ โจทก์ขอคิดค่าเสียหายจากจำเลยวันละ 500 บาท นับตั้งแต่วันที่ 20 กรกฎาคม2529 จนถึงวันฟ้องเป็นเงิน 2,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนประตูเหล็กทั้งสองบานออกจากซอยกีเกต และให้จำเลยทำให้ซอยดังกล่าวอยู่ในสภาพเดิมถ้าหากจำเลยไม่ยอมทำก็ให้โจทก์รื้อถอนได้เองโดยให้จำเลยเป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายทั้งหมด ทั้งให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหาย 2,000 บาท กับค่าเสียหายนับจากวันฟ้องเป็นต้นไปอีกวันละ 500 บาท จนกว่าจะรื้อถอนประตูเหล็กทั้งสองบานออกไป
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า สัญญาเช่าระบุว่าโจทก์จะต้องก่อสร้างอาคารจำนวน 3 ห้อง ตามแบบแปลนที่ขออนุญาตต่อสำนักงานเทศบาลเมืองนครปฐม จำเลยไม่ได้ให้เช่าเพื่อปลูกโกดังสินค้า การที่โจทก์ปลูกโกดังสินค้าลงไปจึงเป็นการผิดสัญญา และโจทก์ก็ไม่ได้ขออนุญาตปลูกสร้างโกดังสินค้าต่อสำนักงานเทศบาลเมืองนครปฐมอันเป็นการผิดสัญญา นอกจากนี้โจทก์ได้ขนถ่ายปูนซีเมนต์ผงในบริเวณโกดังสินค้าที่สร้างขึ้นโดยไม่ได้รับอนุญาต ทำให้เกิดฝุ่นผงซีเมนต์ฟุ้งกระจายทั่วไปในบริเวณใกล้เคียง จำเลยและผู้อาศัยในบริเวณดังกล่าวได้ได้รับความเดือดร้อนเป็นการผิดสัญญา จำเลยได้ว่ากล่าวให้โจทก์ระงับการกระทำนั้นแล้ว แต่โจทก์เพิกเฉย และในสัญญาเช่าไม่มีข้อตกลงให้โจทก์ใช้รถยนต์บรรทุกขนาดใหญ่แล่นเข้าออกตามทางพิพาทได้เมื่อโจทก์ผิดสัญญาจำเลยจึงไม่ประสงค์ให้โจทก์เช่าที่พิพาทต่อไปอีกประการหนึ่งสัญญาเช่าไม่มีข้อตกลงให้โจทก์ใช้ทางพิพาท จำเลยไม่ได้ทำละเมิดต่อโจทก์ โจทก์ไม่ได้รับความเสียหายหากจะเสียหายก็ไม่เกินวันละ 100 บาท โจทก์ผิดสัญญาเช่า และสัญญาเช่าก็ไม่ใช่สัญญาต่างตอบแทนเพราะโจทก์ไม่ได้ก่อสร้างอาคาร 3 ห้อง ตามแบบแปลนของเทศบาลเมืองนครปฐมจำเลยขอถือคำให้การและฟ้องแย้งเป็นหนังสือบอกเลิกสัญญาเช่ากับโจทก์ ขอให้บังคับโจทก์รื้อถอน และขนย้ายสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่พิพาทภายในกำหนด 2 เดือน นับแต่ได้รับคำให้การและฟ้องแย้ง ถ้าครบกำหนดแล้วโจทก์ยังไม่ปฏิบัติตามจำเลยขอคิดค่าเสียหายเดือนละ 5,000 บาท กับขอให้ขับไล่โจทก์และบริวารออกไปจากที่พิพาท ถ้าโจทก์ไม่รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างก็ให้จำเลยรื้อถอนเอง โดยให้โจทก์เป็นผู้เสียค่าใช้จ่าย สิ่งของและเศษวัสดุที่รื้อถอนออกมาให้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์ไม่ได้ผิดสัญญาเช่ากับจำเลยเพราะโจทก์ได้เช่าที่ดินของจำเลยเพื่อปลูกสร้างโกดังเก็บสินค้าทั้งการขออนุญาตปลูกสร้างโกดังจำเลยก็เป็นผู้ขออนุญาต จำเลยจึงไม่มีอำนาจบอกเลิกสัญญาเช่าและขับไล่โจทก์ โจทก์เก็บสินค้าและค้าขายปูนซีเมนต์มาตั้งแต่ปี 2521 จนถึงปัจจุบันร่วม 10 ปีไม่เคยมีผู้ใดเดือดร้อนรำคาญแต่ประการใด จำเลยเองก็ไม่ได้ว่ากล่าวฟ้องแย้งของจำเลยไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนประตูเหล็กทั้งสองบานออกไปจากซอยกีเกตและให้จำเลยทำให้ซอยดังกล่าวอยู่ในสภาพเดิม ให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย 1,600 บาท แก่โจทก์ ที่โจทก์ขอรื้อถอนประตูเหล็กทั้งสองบานเองโดยให้จำเลยเป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายนั้นให้ยกและยกฟ้องแย้งของจำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยฎีกาในประเด็นปัญหาข้อกฎหมายว่าศาลอุทธรณ์ไม่มีอำนาจวินิจฉัยว่าฟ้องแย้งของจำเลยเกี่ยวกับคำฟ้องเดิมหรือไม่ เพราะศาลชั้นต้นได้สั่งรับฟ้องแย้งของจำเลยไว้แล้ว และโจทก์มิได้อุทธรณ์โต้แย้งว่า ฟ้องแย้งของจำเลยไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิมนั้น เห็นว่า การที่จำเลยจะฟ้องแย้งมาในคำให้การได้ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสามบัญญัติบังคับไว้ว่าฟ้องแย้งนั้นจะต้องเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิม หากเป็นเรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิม ให้ศาลสั่งให้จำเลยฟ้องเป็นคดีต่างหาก จากบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวจะเห็นได้ว่า หากคำฟ้องแย้งที่จำเลยฟ้องมาในคำให้การไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิม คำฟ้องนั้นก็มิใช่ฟ้องแย้ง แม้ศาลชั้นต้นรับคำฟ้องนั้นไว้เป็นฟ้องแย้ง ฟ้องแย้งนั้นก็เป็นฟ้องแย้งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายฟ้องแย้งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน เมื่อศาลอุทธรณ์เห็นว่าฟ้องแย้งของจำเลยเป็นฟ้องแย้งที่ไม่ชอบเพราะไม่ได้เกี่ยวกับคำฟ้องเดิมแม้โจทก์จะไม่ได้อุทธรณ์โต้แย้งขึ้นมา ศาลอุทธรณ์ก็ชอบที่จะยกขึ้นวินิจฉัยได้เอง ฎีกาของจำเลยในปัญหานี้ฟังไม่ขึ้น
ส่วนที่จำเลยฎีกาในประเด็นปัญหาข้อกฎหมายต่อมาว่า ฟ้องแย้งของจำเลยเป็นฟ้องแย้งที่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะเป็นคำฟ้องที่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิมนั้น ศาลฎีกาเห็นด้วยกับข้อวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ว่าคำฟ้องของจำเลยไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิม เพราะโจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์ด้วยการสร้างประตูเหล็ก 2 บาน ปิดกั้นซอยทางเข้าออกระหว่างซอยกับโกดังเก็บสินค้าของโจทก์ โจทก์ฟ้องบังคับให้จำเลยรื้อถอนประตูเหล็กทั้งสองบานและให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยมีสิทธิปิดกั้นประตูเหล็กทั้งสองบานตามที่โจทก์ฟ้อง โจทก์เองเป็นฝ่ายผิดสัญญาเช่าด้วยการปลูกสร้างอาคารในที่ดินที่เช่าจากจำเลยไม่ตรงตามสัญญา ขอให้ขับไล่โจทก์และบริวารกับเรียกค่าเสียหายเอาแก่โจทก์ จะเห็นได้ว่าคำฟ้องแย้งของจำเลยที่ว่าโจทก์ประพฤติผิดสัญญาเช่าหรือไม่อย่างไรไม่ได้เกี่ยวกับคำฟ้องเดิม คำฟ้องของจำเลยที่ศาลชั้นต้นสั่งรับเป็นฟ้องแย้งไว้ เป็นฟ้องแย้งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าฟ้องแย้งของจำเลยเป็นเรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิมชอบที่ศาลชั้นต้นจะสั่งไม่รับฟ้องแย้งของจำเลยและให้จำเลยฟ้องเป็นคดีต่างหากนั้น ชอบแล้วฎีกาของจำเลยในปัญหานี้ฟังไม่ขึ้น…”
พิพากษายืน

Share