คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3414/2535

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่พนักงานสอบสวนสั่งปล่อยผู้ต้องหาชั่วคราวโดยกำหนดจำนวนเงินให้นายประกันต้องรับผิดชดใช้เมื่อมีการผิดสัญญาประกันเกินจำนวนเงินตามเช็ค อันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2497 มาตรา 5 (2) นั้น เป็นแต่การกระทำที่เกินอำนาจพนักงานสอบสวนใช้บังคับนายประกันได้เพียงเท่าที่กฎหมายให้อำนาจไว้คือตามจำนวนเงินในเช็ค

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำสัญญาประกันตัวนายสุรศักดิ์ ผู้ต้องหาคดีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.๒๔๙๗ ไปจากความควบคุมของโจทก์โดยจำเลยสัญญาว่าจะส่งตัวผู้ต้องหาดังกล่าวให้โจทก์ตามกำหนดนัด ถ้าผิดนัดยอมใช้เงินจำนวน๒๐๐,๐๐๐ บาท ให้โจทก์ จำเลยได้ทราบกำหนดวันเวลานัดให้ส่งตัวผู้ต้องหาตามสัญญาประกันแล้วแต่จำเลยมิได้นำผู้ต้องหาส่งให้พนักงานสอบสวนตามกำหนดเวลา การกระทำของจำเลยจึงเป็นการผิดสัญญาประกัน โจทก์ทวงถามจำเลยแล้ว จำเลยเพิกเฉย จึงขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน๒๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๓๑ เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเรียกร้องค่าปรับตามสัญญาประกัน สิทธิเรียกร้องของโจทก์ขาดอายุความ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๖๕ (๑๕) จำเลยลงชื่อในสัญญาประกันโดยโจทก์มิได้กรอกวันเวลานัดให้ส่งตัวผู้ต้องหาไว้เมื่อผู้ต้องหาไม่ได้มาพบพนักงานสอบสวน พนักงานสอบสวนก็ไม่ได้แจ้งให้จำเลยทราบ พนักงานสอบสวนได้แจ้งให้จำเลยส่งตัวผู้ต้องหาเมื่อเดือนมีนาคม ๒๕๓๑ เป็นเวลาภายหลังวันขอประกันตัวผู้ต้องหาถึง ๖ ปีเศษ ซึ่งเป็นเวลาเกินกว่า ๕ ปี นับตั้งแต่โจทก์ได้จับกุมตัวผู้ต้องหา คดีของโจทก์จึงขาดอายุความฟ้องร้อง จำเลยจึงมิได้ผิดสัญญาประกัน ขอให้ยกฟ้องโจทก์
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยชำระเงิน ๑๐,๐๐๐ บาท ให้โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันทราบคำพิพากษาเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จคำขออื่นของโจทก์นอกจากนี้ให้ยก
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงิน ๓๐,๐๐๐ บาท ให้โจทก์พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๓๑ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จสิ้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า นายสุรศักดิ์ผู้ต้องหาถูกจับกุมในข้อหาออกเช็คโดยมีเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คเป็นเงิน ๙๓,๐๐๐ บาท ซึ่งตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.๒๔๙๗ มาตรา ๕ (๒) ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๙๖ ลงวันที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๑๕ ข้อ ๑ อันเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะเกิดเหตุคดีนี้ ได้ระบุให้พนักงานสอบสวนมีอำนาจสั่งปล่อยชั่วคราวโดยมีประกัน หรือหลักประกันไม่เกินจำนวนเงินตามเช็ค เมื่อผู้ต้องหาออกเช็คเป็นความผิดจำนวนเงิน ๙๓,๐๐๐ บาท จำเลยเป็นผู้ขอประกัน พนักงานสอบสวนจึงมีอำนาจกำหนดจำนวนเงินให้ผู้ประกันชดใช้ เมื่อมีการผิดสัญญาประกันเพียงไม่เกินจำนวนเงิน ๙๓,๐๐๐ บาท การที่พนักงานสอบสวนกำหนดจำนวนเงินให้ผู้ประกันชดใช้เมื่อมีการผิดสัญญาประกัน ๒๐๐,๐๐๐ บาท ซึ่งเกินกว่าจำนวนเงินตามเช็ค เป็นการกระทำที่เกินอำนาจของพนักงานสอบสวน จึงใช้บังคับผู้ประกันได้เพียงเท่าที่กฎหมายให้อำนาจไว้คือ ๙๓,๐๐๐ บาทตามจำนวนเงินในเช็ค และที่โจทก์ฎีกาต่อมาว่า จำเลยไม่ส่งตัวผู้ต้องหาให้พนักงานสอบสวนตามกำหนดนัด ทำให้โจทก์ดำเนินคดีแก่ผู้ต้องหาไม่ได้ ได้รับความเสียหายนั้น ปรากฏตามคำร้องขอประกันและสัญญาประกันเอกสารหมาย จ.๔ ว่า จำเลยได้ลงชื่อรับทราบกำหนดนัดของพนักงานสอบสวนไว้ ๓ ครั้ง ที่ด้านหลังสัญญา ต้องถือว่าจำเลยได้ทราบกำหนดนัดของพนักงานสอบสวนแต่ละครั้งแล้ว เมื่อจำเลยไม่ส่งตัวผู้ต้องหาตามกำหนดนัด พนักงานสอบสวนจะต้องมีหนังสือเตือนจำเลยเสียแต่เนิ่น ๆ จำเลยอาจขวนขวายนำผู้ต้องหามาส่งพนักงานสอบสวนภายในเวลาอันสมควรก็ได้ แต่ปรากฏว่าพนักงานสอบสวนเพิ่งมีหนังสือเตือนจำเลยให้นำผู้ต้องหามาส่ง หลังจากวันที่จำเลยผิดนัดครั้งที่ ๓ ประมาณ ๖ ปีเศษ นับว่าเป็นการไม่ได้ตัวจำเลยมาดำเนินคดีภายในเวลาอันสมควร พนักงานสอบสวนมีส่วนบกพร่องอยู่ด้วย เมื่อคำนึงถึงจำนวนเงินตามเช็คที่ผู้ต้องหาสั่งจ่าย การที่ศาลอุทธรณ์ใช้ดุลพินิจลดค่าปรับตามสัญญาประกันลงเหลือ๓๐,๐๐๐ บาท จึงเหมาะสมแล้ว
พิพากษายืน.

Share