แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ประสงค์จะติดต่อค้าขายกับจำเลยที่1และที่2โดยให้จำเลยที่1และที่2ไปจดทะเบียนตั้งบริษัทเมื่อจำเลยที่1และที่2จัดตั้งบริษัทจำเลยที่3ขึ้นจำเลยที่2ก็ได้ออกเช็คพิพาทชำระหนี้ให้โจทก์โดยประทับตราจำเลยที่3แม้ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คพิพาทจำเลยที่1และที่2ซึ่งเป็นกรรมการของจำเลยที่3ก็ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์เป็นการส่วนตัว ที่โจทก์ฎีกาว่าจำเลยที่1ลงลายมือชื่อสลักหลังเช็คพิพาทจึงต้องรับผิดต่อโจทก์เป็นส่วนตัวนั้นคดีนี้โจทก์ตั้งรูปเรื่องในฟ้องว่าจำเลยทั้งสามรับสินค้าของโจทก์ไปจำหน่ายโดยจำเลยทั้งสามจะต้องชำระค่าสินค้าตามราคาและเวลาที่ตกลงกันไว้ส่วนการจำหน่ายสินค้าจำเลยทั้งสามจะจำหน่ายในราคาเท่าใดก็ได้เป็นเรื่องของจำเลยทั้งสามโจทก์มิได้เกี่ยวข้องด้วยรูปเรื่องตามฟ้องโจทก์ดังกล่าวมีลักษณะเป็นเรื่องของสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดส่วนที่ฟ้องโจทก์บรรยายถึงเช็คพิพาทมาด้วยก็เพื่อแสดงให้เห็นพฤติการณ์ที่จำเลยทั้งสามนำเช็คพิพาทมาชำระหนี้ค่าสินค้าแล้วโจทก์ยังไม่ได้รับเงินเท่านั้นไม่มีผลทำให้ฟ้องโจทก์เป็นเรื่องตั๋วเงินไปด้วยแม้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าที่โจทก์นำสืบว่าเช็คมีจำเลยที่1ลงชื่อสลักหลังก็ไม่ปรากฎลายมือชื่อจำเลยที่1ตามที่พยานโจทก์อ้างโจทก์ก็อุทธรณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้เพียงว่าเป็นการวินิจฉัยที่ฝ่าฝืนต่อพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบทั้งๆที่โจทก์ได้ชี้ตำแหน่งที่จำเลยที่1ลงลายมือชื่อด้านหลังเช็คให้ศาลทราบแล้วจำเลยไม่สืบพยานจึงต้องฟังตามที่โจทก์นำสืบว่าจำเลยที่1และที่2เป็นผู้ค้ากับโจทก์ส่วนจำเลยที่3เป็นเพียงเครื่องมือที่เชิดออกมาให้เป็นผู้เสียภาษีกำไรที่ได้เป็นของจำเลยที่1และที่2เมื่อศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าได้ตรวจดูเช็คทั้ง7ฉบับแล้วไม่ปรากฎว่ามีชื่อจำเลยที่1เป็นผู้สลักหลังดังนั้นที่โจทก์ฎีกาในทำนองขอให้จำเลยที่1รับผิดต่อโจทก์เป็นส่วนตัวในฐานะผู้สลักหลังเช็คพิพาทนั้นจึงเป็นเรื่องนอกประเด็นตามคำฟ้องศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 ซึ่งเป็นสามีภรรยากันได้มาติดต่อขอเป็นผู้แทนจำหน่ายสินค้าของโจทก์ในจังหวัดภาคเหนือผู้แทนโจทก์แนะนำให้ประกอบกิจการในรูปบริษัทจำกัดเพื่อประโยชน์ทางธุรกิจและภาษีอากรเมื่อประมาทเดือนมิถุนายน 2533 จำเลยที่ 1และที่ 2 จัดตั้งบริษัทจำเลยที่ 3 ขึ้นที่จังหวัดเชียงใหม่ จำเลยที่ 3 จึงเป็นหุ้นส่วน เครื่องมือและเป็นกิจการของจำเลยที่ 1และที่ 2 ในการแสวงหากำไรมาแบ่งปันกันเมื่อบริษัทจำเลยที่ 3เปิดกิจการแล้ว โจทก์ส่งตัวอย่างสินค้าให้จำเลยทั้งสามเพื่อแสดงหน้าร้านหรือใช้ประกับสำนักงานคิดเป็นเงิน 132,000 บาท และจัดส่งสินค้าให้จำเลยทั้งสามจำหน่ายหลายครั้ง จำเลยทั้งสามมีอิสระจำหน่ายสินค้าในราคาตามที่ปรารถนาแต่ให้ใช้ราคาสินค้าที่โจทก์กำหนดดั่งตัวแทนค้าต่างภายในวันที่ 7 ของเดือนถัดไปพร้อมทั้งรายงานสินค้าคงเหลือประจำเดือนแก่โจทก์ จำเลยทั้งสามจำหน่ายสินค้าที่รับไปจากโจทก์จนหมดสิ้น แล้วส่งใช้เงินให้โจทก์เพียงบางส่วน โจทก์ไม่วางใจจึงให้จำเลยออกเช็คล่วงหน้าชำระเงินแก่โจทก์สำหรับค่าสินค้าที่เหลืออยู่อีกจำนวน 654,340 บาท และงดไม่ส่งสินค้าแก่จำเลยอีก จำเลยที่ 2ออกเช็คธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) สาขาเชียงใหม่ จำนวน 8 ฉบับโดยประทับตราสำคัญของจำเลยที่ 3 สั่งจ่ายเงินจำนวน 654,340 บาทมีจำเลยที่ 1 เป็นผู้ลงลายมือชื่อสลักหลังเช็คมอบแก่โจทก์เมื่อเช็คแต่ละฉบับถึงกำหนดโจทก์นำฝากเข้าบัญชีที่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขา119 บางกอกน้อย เพื่อเรียกเก็บเงินแต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน โจทก์ทวงถามจำเลยทั้งสามจำเลยทั้งสามเพิกเฉยแล้วปิดกิจการหลบหนีไปพร้อมสินค้าที่แสดงหรือประกับหน้าร้านมูลค่า 132,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันหรือแทนกันชดใช้เงินจำนวน 919,034.89 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 โดยส่วนตัวไม่เคยติดต่อขอเป็นผู้แทนจำหน่ายสินค้าของโจทก์และโจทก์ไม่เคยส่งสินค้าให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 จำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่ได้เป็นหุ้นส่วนกับจำเลยที่ 3 ไม่เคยใช้หรือถือว่าจำเลยที่ 3 เป็นเครื่องมือและกิจการที่จะแสวงหากำไรมาแบ่งปันกัน จำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นเพียงกรรมการของจำเลยที่ 3 จึงไม่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัวในหนี้ที่จำเลยที่ 3 มีต่อโจทก์ สินค้าตามฟ้องบริษัทจำเลยที่ 3 ในฐานะนิติบุคคลสั่งซื้อจากโจทก์แต่ผู้เดียว จำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่ต้องร่วมรับผิด และฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
จำเลย ที่ 3 ขาดนัด ยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 3 ชำระเงินจำนวน 736,340 บาทแก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 604,340 บาทนับแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2533 และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงิน 132,000 บาท นับแต่วันที่ 7 ธันวาคม 2537จนกว่าจะชำระเสร็จ ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 และที่ 2
โจทก์ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าคดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ข้อแรกว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 ต้องรับผิดต่อโจทก์เป็นการส่วนตัวหรือไม่ข้อนี้โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้ติดต่อขอเป็นผู้แทนจำหน่ายสินค้าของโจทก์ โจทก์แนะนำให้ประกอบกิจการในรูปบริษัทจำกัด ในที่สุดจำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้จัดตั้งบริษัทจำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 2 ออกเช็คพิพาทโดยประทับตราจำเลยที่ 3 ชำระค่าสินค้าแก่โจทก์ นายสมบูรณ์ สุ่นสวัสดิ์ หุ้นส่วนผู้จัดการโจทก์เบิกความเป็นพยานว่า เป็นผู้แนะนำจำเลยที่ 1 ว่าควรจะมีการจดทะเบียนเป็นร้านค้าหรือหุ้นส่วนหรือบริษัทเพื่อติดต่อซื้อขายกันเพราะจะต้องมีใบเสร็จและใบส่งของ ช่วงระยะปีแรกมีการชำระเงินดีช่วงหลังมีปัญหาทางการเงินครั้งหลังจำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้ออกเช็คให้โจทก์ 8 ฉบับ โดยจำเลยที่ 2 เป็นผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายจำเลยที่ 1 เป็นผู้สลักหลักเช็ค ตามเช็คและใบคืนเช็คเอกสารหมายจ.1 ถึง จ.14 เห็นว่า ตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์และคำเบิกความของนายสมบูรณ์พยานโจทก์ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ประสงค์จะติดต่อค้าขายกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 โดยให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ไปจดทะเบียนตั้งบริษัท เมื่อจำเลยที่ 1 และที่ 2 จัดตั้งบริษัทจำเลยที่ 3 ขึ้น จำเลยที่ 2 ก็ได้ออกเช็คพิพาทชำระหนี้ให้โจทก์โดยประทับตราจำเลยที่ 3 ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าโจทก์ติดต่อค้าขายกับจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 1 และที่ 2 ซึ่งเป็นกรรมการของจำเลยที่ 3จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์เป็นการส่วนตัว ส่วนที่โจทก์ฎีกาข้อสุดท้ายว่า จำเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อสลักหลังเช็คพิพาทจึงต้องรับผิดต่อโจทก์เป็นส่วนตัวนั้น เห็นว่า โจทก์ตั้งรูปเรื่องในฟ้องว่าจำเลยทั้งสามรับสินค้าของโจทก์ไปจำหน่ายโดยจำเลยทั้งสามจะต้องชำระค่าสินค้าตามราคาและเวลาที่ตกลงกันไว้ ส่วนการจำหน่ายสินค้าจำเลยทั้งสามจะจำหน่ายในราคาเท่าใดก็ได้ เป็นเรื่องของจำเลยทั้งสาม โจทก์มิได้เกี่ยวข้องด้วย รูปเรื่องตามฟ้องโจทก์ดังกล่าวมีลักษณะเป็นเรื่องของสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด ส่วนที่ฟ้องโจทก์บรรยายถึงเช็คพิพาทมาเช็คพิพาทมาด้วยก็เพื่อแสดงให้เห็นพฤติการณ์ที่จำเลยทั้งสามนำเช็คพิพาทมาชำระหนี้ค่าสินค้าแล้วโจทก์ยังไม่ได้รับเงินเท่านั้นไม่มีผลทำให้ฟ้องโจทก์เป็นเรื่องตั๋วเงินไปด้วย ดังจะเห็นได้จากคำแถลงการณ์ปิดคดีของโจทก์ก็ระบุว่าทางฝ่ายโจทก์เห็นว่ากฎหมายที่จะใช้ปรับแก่คดีนี้อย่างเป็นธรรมก็คือลักษณะหุ้นส่วนและตัวแทนเป็นที่เข้าใจระหว่างจำเลยที่ 1 ที่ 2 และโจทก์ว่าจำเลยที่ 3เป็นเพียงหุ่นเชิดในการจำหน่ายสินค้าและเสียภาษีแทนจำเลยที่ 1และที่ 2 เท่านั้น ส่วนจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นเจ้าของจำเลยที่ 3การกระทำของจำเลยทั้งสามอย่างมากก็ปรับได้ด้วยหุ้นส่วนซึ่งต้องร่วมกันรับผิดต่อโจทก์ โจทก์จึงได้ตั้งรูปคดีมาในลักษณะนั้น แม้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ที่โจทก์นำสืบว่าเช็คมีจำเลยที่ 1 ลงชื่อสลักหลังก็ไม่ปรากฎลายมือชื่อจำเลยที่ 1 ตามที่พยานโจทก์อ้างโจทก์ก็อุทธรณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้เพียงว่า เป็นการวินิจฉัยที่ฝ่าฝืนต่อพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบทั้ง ๆ ที่โจทก์ได้ชี้ตำแหน่งที่จำเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อด้านหลังเช็คให้ศาลทราบแล้ว จำเลยไม่สืบพยานจึงต้องฟังตามที่โจทก์นำสืบว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นผู้ค้ากับโจทก์ ส่วนจำเลยที่ 3 เป็นเพียงเครื่องมือที่เชิดออกมาให้เป็นผู้เสียภาษี กำไรที่ได้เป็นของจำเลยที่ 1 และที่ 2 เมื่อศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าได้ตรวจดูเช็คทั้ง 7 ฉบับแล้ว ไม่ปรากฎว่ามีชื่อจำเลยที่ 1 เป็นผู้สลักหลัง ดังนั้นที่โจทก์ฎีกาในทำนองขอให้จำเลยที่ 1รับผิดต่อโจทก์เป็นส่วนตัวในฐานะผู้สลักหลังเช็คพิพาทนั้นจึงเป็นเรื่องนอกประเด็นตามคำฟ้อง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายืน