คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 921/2521

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ภายหลังจากวันที่จำเลยถูกกล่าวหาว่ามีอาวุธปืนและกระสุนปืนสำหรับใช้เฉพาะแต่การสงครามไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตซึ่งเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ.2490 แล้วได้มีคำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินฉบับที่ 12 ลงวันที่ 7 ตุลาคม 2519 สั่งให้บุคคลที่มีอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน หรือวัตถุระเบิดสำหรับใช้เฉพาะแต่การสงครามไว้ในความครอบครอง ซึ่งเป็นความผิดมาแต่ก่อนคำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินดังกล่าวใช้บังคับไม่ว่าการกระทำนั้นจะเกิดขึ้นเมื่อใด สามารถนำมามอบให้นายทะเบียนท้องที่ได้ภายในวันที่ 14 ตุลาคม 2519 โดยผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ จึงเป็นกฎหมายที่เป็นคุณแก่ผู้กระทำผิดยิ่งกว่ากฎหมายที่ใช้อยู่ในเวลาที่จำเลยถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิด ต้องใช้คำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินฉบับที่ 12 ลงวันที่ 7 ตุลาคม 2519บังคับแก่การกระทำของจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 วรรคแรกจำเลยจึงไม่ต้องรับโทษ ของกลางริบ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยมีอาวุธปืนเล็กกล เอ็ม 16 ขนาด .223 จำนวน 1 กระบอก ใช้ยิงได้ และมีกระสุนปืนเล็กกลขนาด .223 จำนวน 20 นัด ซึ่งเป็นอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนสำหรับใช้เฉพาะในการสงครามตามกฎหมายไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตและจำเลยได้พาอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนดังกล่าวไปในหมู่บ้านและทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควรขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯ พ.ศ. 2490 มาตรา 55, 78 พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2501 มาตรา 3, 5, 8 กฎกระทรวงฉบับที่ 7 (พ.ศ. 2501) ออกตามความในพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ. 2490 ข้อ 5, 16 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 และริบของกลาง

จำเลยให้การรับสารภาพ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯพ.ศ. 2490 มาตรา 55, 78 พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2501มาตรา 3, 5, 8 กฎกระทรวงฉบับที่ 7 (พ.ศ. 2501) ออกตามความในพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ. 2490 ข้อ 5, 16 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 เฉพาะความผิดฐานพกพาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 วางโทษปรับ 100 บาท จำเลยให้การรับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 29, 30 ส่วนฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนสำหรับใช้เฉพาะในการสงคราม เนื่องจากได้มีคำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 12 สั่ง ณ วันที่ 7 ตุลาคม 2519 ระบุว่าไม่ต้องรับโทษ จึงให้ยกฟ้องข้อหานี้ ของกลางริบ

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ. 2490 มาตรา 55, 78 พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2501 มาตรา 5, 8 กฎกระทรวงฉบับที่ 7 (พ.ศ. 2501) ออกตามความในพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ. 2490 ข้อ 5, 16 จำคุก 3 ปี จำเลยรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 1 ปี 6 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า แม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ตามที่ศาลล่างทั้งสองฟังมาว่า จำเลยมีอาวุธปืนและกระสุนปืนตามฟ้องไว้ในความครอบครอง แต่ภายหลังจากวันที่จำเลยถูกกล่าวหาว่ามีอาวุธปืนและกระสุนปืนดังกล่าวแล้ว ได้มีคำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินฉบับที่ 12 ลงวันที่ 7 ตุลาคม 2519 สั่งให้ผู้ที่มีอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน หรือวัตถุระเบิดสำหรับใช้เฉพาะแต่ในการสงครามไว้ในความครอบครอง นำมามอบให้นายทะเบียนท้องที่ตามกฎหมายว่าด้วยอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน ภายในวันที่ 14 ตุลาคม 2519 โดยผู้ที่ปฏิบัติตามคำสั่งนี้ไม่ต้องรับโทษ จึงเป็นผลให้บุคคลที่มีอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนสำหรับใช้เฉพาะแต่การสงครามไว้ในความครอบครองซึ่งเป็นความผิดมาแต่ก่อนคำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินดังกล่าวใช้บังคับไม่ว่าการกระทำนั้นจะเกิดขึ้นเมื่อใด สามารถนำอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนเหล่านั้นมามอบให้นายทะเบียนท้องที่ได้ภายในวันที่ 14 ตุลาคม 2519 โดยผู้นั้นไม่ต้องรับโทษคำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินดังกล่าวเป็นกฎหมายที่เป็นคุณแก่ผู้กระทำผิดยิ่งกว่ากฎหมายที่ใช้อยู่ในเวลาที่จำเลยถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดกรณีจำต้องใช้คำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินฉบับที่ 12 ลงวันที่ 7 ตุลาคม 2519 บังคับแก่การกระทำของจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 วรรคแรก จำเลยจึงไม่ต้องรับโทษ

พิพากษากลับ บังคับคดีให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share