แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้รับอนุญาตให้ยื่นฟ้องฎีกาอย่างคนอนาถา จำเลยจึงมีหน้าที่ต้องชำระค่าธรรมเนียมศาลในการยื่นฟ้องฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 149ซึ่งจำเลยไม่ได้ชำระ คำฟ้องฎีกาของจำเลยที่คัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย รับไว้พิจารณาไม่ได้ แม้ศาลชั้นต้นจะสั่งรับฎีกาก็ไม่วินิจฉัยให้ ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำเลยหาหลักประกันสำหรับค่าธรรมเนียมจำนวนนี้มาวางศาลและทำสัญญาประกันไว้ก็ไม่ทำให้ฟ้องฎีกาของจำเลยเป็นฟ้องที่ถูกต้องสมบูรณ์ขึ้นมาได้
จำเลยฎีกาคัดค้านคำสั่งศาลอุทธรณ์ที่ตั้งให้นางสาวคล้อยเจวะ เข้าเป็นคู่ความแทนโจทก์ที่ 1 ผู้มรณะนั้น นางสาวคล้อยได้ยื่นสำเนาทะเบียนบ้านเป็นพยานว่าโจทก์ที่ 1 เป็นหัวหน้าครอบครัวนางสาวคล้อยมีความเกี่ยวพันกับหัวหน้าครอบครัวโดยเป็นพี่ เมื่อพิเคราะห์ประกอบกับคำแถลงและคำให้การของจำเลยที่ว่านางสาวคล้อยเป็นพี่ของโจทก์ที่ 1 โจทก์ที่1 ไม่มีภรรยาและบุตร. บิดามารดาถึงแก่กรรมไปหมดแล้วข้อเท็จจริงฟังได้ว่านางสาวคล้อยผู้ร้องเป็นทายาทของโจทก์ที่ 1 จริงคำสั่งของศาลอุทธรณ์ที่ตั้งให้นางสาวคล้อยเป็นคู่ความแทนโจทก์ ที่ 1 ผู้มรณะจึงเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 43
ฎีกาของจำเลยที่ว่าผู้ร้องไม่มีคุณสมบัติที่จะเข้าเป็นผู้รับมรดกแทนโจทก์ที่ 1 ผู้มรณะได้เพราะอายุมากยังหาคู่สมรสไม่ได้ ไม่มีความรู้เขียนอ่านหนังสือไม่ได้ เป็นฎีกาที่กล่าวอ้างอย่างเลื่อนลอยไร้สาระ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 และที่ 2 กับจำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกันในที่ดินโฉนดเลขที่ 1371 โจทก์มีความประสงค์ของแบ่งแยกที่ดินดังกล่าวออกเป็นส่วนของโจทก์จำเลย แต่จำเลยเพิกเฉยไม่ยอมแบ่งขอให้พิพากษาบังคับให้จำเลยทั้งสองไปจัดการแบ่งหากตกลงกันไม่ได้ให้เอาที่ดินออกขายทอดตลาดเอาเงินมาแบ่งกันตามส่วน หากจำเลยไม่ยอมตามคำขอให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่ใช่เจ้าของที่ดินตามฟ้องร่วมกับจำเลยการที่โจทก์มีชื่อในโฉนดเป็นเพียงการขออนุญาตเป็นตัวแทนจำเลยชั่วระยะเวลาเพื่อติดต่อและจัดสรรที่ดินนี้เท่านั้น จำเลยครอบครองที่ดินทั้งหมดโดยสงบเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของไม่มีผู้ใดโต้แย้งคัดค้านเป็นเวลาติดต่อมากว่า 10 ปี โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง โจทก์ที่ 1 แม้จะมีชื่อในโฉนดก็ได้สละการครอบครองให้จำเลยกับภรรยาทำกินมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2499 จำเลยจึงได้กรรมสิทธิ์ในส่วนของโจทก์ที่ 1 โดยสิ้นเชิง จำเลยยอมให้โจทก์ที่ 2 ร่วมมีชื่อในโฉนดด้วยเพื่อร่วมกันติดต่อนายทุนจัดสรรที่ดิน แต่จำเลยยังคงครอบครองที่ดินนี้แต่ผู้เดียวโจทก์ทั้งสองมิได้เกี่ยวข้อง จำเลยไม่เคยตกลงจะแบ่งแยกที่ดินเป็นสัดส่วนให้โจทก์ โจทก์เคยยื่นฟ้องจำเลยในคดีนี้เป็นเรื่องเดียวกันมาแล้ว ตามสำนวนคดีศาลจังหวัดมีนบุรีหมายเลขดำที่ 67/2517 ระหว่าง นายติ่ง เจวะ กับพวก โจทก์ นายธวัชหรือฮั้ว สุธีระวัฒนานนท์จำเลย ศาลจังหวัดมีนบุรีพิพากษายกฟ้อง คดีถึงที่สุด โจทก์ฟ้องคดีนี้อีกจึงเป็นการฟ้องซ้ำ ฟ้องโจทก์ไม่สมบูรณ์เพราะไม่ได้เรียกค่าขึ้นศาล ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยจัดการแบ่งกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทตามส่วนที่โจทก์จำเลยถือสิทธิ หากไม่สามารถทำได้ให้เอาที่ดินออกขายทอดตลาดนำเงินแบ่งกันตามส่วน ถ้าจำเลยบิดพลิ้วให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ระหว่างอุทธรณ์โจทก์ที่ 1 ถึงแก่กรรม นางสาวคล้อย เจวะ ขอเข้าเป็นคู่ความแทนโจทก์ที่ 1 จำเลยคัดค้านว่านางสาวคล้อยไม่ใช่ทายาทของโจทก์ที่ 1 ขอให้ยกคำร้อง ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งอนุญาตให้นางสาวคล้อยเข้าเป็นคู่ความแทนที่โจทก์ที่ 1 และวินิจฉัยคดีว่า เห็นพ้องด้วยกับคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ให้จำเลยจัดการแบ่งแยกกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทตามส่วนที่โจทก์จำเลยถือสิทธิ หากไม่สามารถทำได้ให้เอาที่ดินออกขายทอดตลาดนำเงินมาแบ่งกันตามส่วน แต่ที่พิพากษาว่าหากจำเลยบิดพลิ้วให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยนั้นเห็นว่า ถ้าจำเลยไม่ยอมแบ่งที่ดินกับโจทก์ศาลก็บังคับจำเลยไม่ได้ต้องเอาที่ดินออกขายทอดตลาดนำเงินมาแบ่งกันตามส่วนจึงไม่มีการกระทำนิติกรรมอย่างใดอันจะให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำขอของโจทก์ที่ขอให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกาทั้งคำพิพากษาและคำสั่ง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ไม่ปรากฏในท้องสำนวนว่าจำเลยได้รับอนุญาตให้ยื่นฟ้องฎีกาอย่างคนอนาถา จำเลยจึงมีหน้าที่ต้องชำระค่าธรรมเนียมศาลในการยื่นฟ้องฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 149 ซึ่งจำเลยไม่ได้ชำระ คำฟ้องฎีกาของจำเลยที่คัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์จึงไม่ชอบด้วยกฎหมายมาตราดังกล่าว รับไว้พิจารณาไม่ได้ แม้ศาลชั้นต้นจะสั่งรับศาลฎีกาก็ไม่วินิจฉัยให้ ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำเลยหาหลักประกันสำหรับค่าธรรมเนียมมาวางศาลและทำสัญญาประกันไว้ ก็ไม่ทำให้ฟ้องฎีกาของจำเลยเป็นฟ้องที่ถูกต้องสมบูรณ์ขึ้นมาได้
ที่จำเลยฎีกาคัดค้านคำสั่งศาลอุทธรณ์ที่ตั้งให้นางสาวคล้อยเจวะ เข้าเป็นคู่ความแทนโจทก์ที่ 1 ผู้มรณะนั้น เห็นว่านางสาวคล้อยได้ยื่นสำเนาทะเบียนบ้านเป็นพยานว่านางสาวคล้อยเป็นพี่โจทก์ที่ 1ผู้มรณะ เมื่อพิจารณาประกอบคำแถลงของจำเลยและคำให้การจำเลยที่ 1 ซึ่งเบิกความในชั้นไต่สวนคำร้องซึ่งรวมความได้ว่า นางสาวคล้อยเป็นพี่โจทก์ที่ 1 โจทก์ที่ 1 ไม่มีภรรยาและบุตร บิดามารดาถึงแก่กรรมไปนานแล้ว ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่านางสาวคล้อยเป็นทายาทโจทก์ที่ 1 คำสั่งศาลอุทธรณ์ที่ตั้งให้นางสาวคล้อยเป็นคู่ความแทนโจทก์ที่ 1 ผู้มรณะจึงเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 43 แล้ว
ฎีกาของจำเลยที่ว่าผู้ร้องไม่มีคุณสมบัติที่จะเข้าเป็นผู้รับมรดกความแทนโจทก์ที่ 1 ผู้มรณะ เพราะอายุมากยังหาคู่สมรสไม่ได้ ไม่มีความรู้อ่านเขียนหนังสือไม่ได้ความจำเลอะเลือนเป็นฎีกาที่กล่าวอ้างอย่างเลื่อนลอยไร้สาระวินิจฉัยให้เป็นประโยชน์แก่คดีของจำเลยไม่ได้
พิพากษายกฎีกาของจำเลยที่คัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ส่วนที่จำเลยฎีกาคัดค้านคำสั่งศาลอุทธรณ์นั้นพิพากษายืน