แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ซึ่งเป็นทายาท พ. และ ห. ซึ่งเป็นเจ้าของรวมในที่ดินแปลงที่ปลูกตึกแถวพิพาทได้แบ่งทรัพย์สินกันเองในระหว่างเจ้าของรวม โดยโจทก์ได้ที่ดิน 53 ตารางวา ส่วนที่เหลือซึ่งเป็นของ ห. โจทก์และ ห. ยอมให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 9 ซึ่งเป็นหลานของ ห. เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ สำหรับตึกพิพาทนอกจากจะปลูกอยู่บนที่ดินส่วนของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 9 แล้ว โจทก์ให้จำเลยที่ 10 ดำเนินการโอนตึกแถวพิพาทให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 9 โดยโจทก์พิมพ์ลายนิ้วมือไว้ในเอกสารหมาย ล.1 โดยสมัครใจ ความว่า โจทก์ไม่ขอเกี่ยวข้องในสิทธิและตึกแถวพิพาทแต่อย่างใด จึงเป็นการสละเจตนาครอบครองตึกแถวพิพาทตั้งแต่วันทำเอกสารหมาย ล.1 จำเลยที่ 2 ถึงที่ 9 โดยจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้แทนโดยชอบธรรมได้ครอบครองตึกแถวพิพาทติดต่อกันมาโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของด้วยการทำสัญญาเช่าและเก็บค่าเช่านับแต่วันทำเอกสารหมาย ล.1 ถึงวันฟ้องเป็นเวลากว่าสิบปี จำเลยที่ 2 ถึงที่ 9 จึงได้กรรมสิทธิ์ โจทก์ไม่มีสิทธิที่จะขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนระหว่าง ห. กับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 9
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นมารดานางเพี้ยนซึ่งถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๑๑ ศาลแพ่งมีคำสั่งตั้งโจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของนางเพี้ยน โจทก์จึงไปขอโอนใส่ชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในตึกแถวเลขที่ ๑๘๓ ถึง ๑๙๑ รวม ๙ ห้องของนางเพี้ยนในฐานะผู้จัดการมรดกตามคำสั่งศาลที่เขตภาษีเจริญ ปรากฏว่านางเพี้ยนได้โอนตึกแถวดังกล่าวใส่ชื่อจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๙ ขณะเป็นผู้เยาว์โดยจำเลยที่ ๑ เป็นผู้รับมอบตามหนังสือสัญญารับมรดกฉบับที่ ๑๔/๑๔ และปรากฏว่าจำเลยที่ ๓ ที่ ๔ ได้โอนขายตึกแถว ๑๘๕, ๑๘๖ ให้แก่ผู้มีชื่อ การที่นางเพี้ยนโอนตึกแถวดังกล่าว จำเลยที่ ๑ กระทำโดยไม่สุจริตสมคบกับจำเลยที่ ๑๐ ทำสัญญารับมรดกตึกแถวดังกล่าวโดยนางเพี้ยนมิได้มีตัวอยู่ในวันทำสัญญาและมิได้ทำพนัยกรรมยกตึกแถวดังกล่าวให้จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๙ แต่อย่างใด ทั้งปรากฏด้วยว่าสัญญารับมรดกไม่มีลายมือชื่อของนางเพี้ยนในช่องผู้ให้ สัญญาดังกล่าวจึงเป็นโมฆะ ขอให้พิพากษาว่านิติกรรมการรับมรดกตึกแถวเลขที่ ๑๘๓ ถึง ๑๙๑ ตามหนังสือสัญญาฉบับที่ ๑๔/๑๔ ลงวันที่ ๒ กันยายน ๒๕๑๒ ของอำเภอภาษีเจริญเป็นโมฆะและให้กลับคืนสู่ฐานะเดิมเป็นของนายเพี้ยนผู้ตาย และให้เพิกถอนหนังสือสัญญา ฉบับที่ ๑๔/๑๔ นั้นด้วย ให้พนักงานเจ้าหน้าที่จดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมของเขตภาษีเจริญจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ตึกแถวดังกล่าวใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ตามคำสั่งศาลแพ่ง และห้ามจำเลยทั้งหมดเกี่ยวข้องกับตึกแถวดังกล่าวอีกต่อไป
จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๕ ถึงที่ ๘ ให้การต่อสู้คดีหลายประการและว่าจำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินที่ปลูกตึกแถวพิพาท โดยได้รับโอนจากนางเพี้ยน ย่อมได้ตึกแถวพิพาทซึ่งเป็นส่วนควบของที่ดินตามกฎหมาย จำเลยเป็นทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกของนางเพี้ยนได้รับโอนสิทธิในตึกพิพาทจากนางเพี้ยนและเจ้าพนักงานได้โอนสิทธิตามหลักฐานทางทะเบียนให้แก่จำเลยโดยชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ขอเพิกถอนไม่ได้ คดีโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๓ ที่ ๔ ที่ ๙ และที่ ๑๐ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ ๑๑ ให้การว่า ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการทำสัญญารับมรดกและนิติกรรมตามฟ้อง นิติกรรมและสัญญาที่โจทก์อ้างชอบด้วยกฎหมายไม่เป็นโมฆะ จำเลยที่ ๑๐ และที่ ๑๑ มิได้ทำการใด ๆ ให้เป็นที่เสียหายแก่โจทก์ ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณาโจทก์ถึงแก่กรรม นางบุญรักษ์ วรมุสิก ซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกของโจทก์ขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลอนุญาต
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๙ ได้รับโอนตึกแถวพิพาทโดยชอบด้วยกฎหมาย พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ เป็นว่าให้จำหน่ายคดีโจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกนางเพี้ยนผู้ตายเสีย และให้ทำนิติกรรมการโอนสิทธิ์ตึกแถวเลขที่ ๑๘๓, ๑๘๔, ๑๘๗, ๑๘๘, ๑๘๙, ๑๙๐ และ ๑๙๑ ตามสัญญาฉบับที่ ๑๔/๑๔ ลงวันที่ ๒ กันยายน ๒๕๑๒ ของอำเภอภาษีเจริญ จังหวัดธนบุรี เป็นโมฆะ ให้คืนสู่ฐานะเดิมเป็นของนางเพี้ยนผู้ตาย และเพิกถอนหนังสือสัญญาฉบับดังกล่าวให้จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๑๐ ดำเนินการขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ตึกแถวเลขที่ ๑๘๓, ๑๘๔, ๑๘๗, ๑๘๘, ๑๘๙, ๑๙๐ และ ๑๙๑ ตามคำพิพากษา ห้ามจำเลยที่ ๑ ที่ ๓ ถึงที่ ๑๐ เกี่ยวข้องกับตึกแถวอีกต่อไป ให้จำเลยที่ ๓ และที่ ๔ ใช้ราคาตึกแถวเลขที่ ๑๘๕ และ ๑๘๖ คนละ ๔๐,๐๐๐ บาทแก่โจทก์ในฐานะส่วนตัว นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๕ ถึงที่ ๘ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า นางเพี้ยนและนายหอมอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยาโดยมิได้จดทะเบียนสมรส และตึกแถวพิพาทพร้อมด้วยที่ดินได้มาในระหว่างที่คนทั้งสองอยู่กินด้วยกัน จึงเป็นเจ้าของร่วมกันในตึกแถวพิพาทและที่ดิน เมื่อนางเพี้ยนถึงแก่กรรม ส่วนของนางเพี้ยนเป็นมรดกตกทอดแก่โจทก์ซึ่งเป็นทายาท โจทก์และนายหอมซึ่งเป็นเจ้าของรวมในที่ดินแปลงที่ปลูกตึกแถวพิพาทได้แบ่งทรัพย์สินกันเองในระหว่างเจ้าของรวม โดยโจทก์ได้ที่ดิน ๕๓ ตารางวา ส่วนที่เหลือซึ่งเป็นของนายหอม โจทก์และนายหอมยอมให้จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๙ ซึ่งเป็นหลานของนายหอมเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ สำหรับตึกแถวพิพาทนอกจากจะปลูกอยู่บนที่ดินส่วนของจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๙ แล้ว โจทก์ให้จำเลยที่ ๑๐ ดำเนินการโอนตึกแถวพิพาทให้จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๙ โดยโจทก์พิมพ์ลายนิ้วมือไว้ในเอกสารหมาย ล.๑ เมื่อวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๑๒ ความว่า โจทก์ไม่ขอเกี่ยวข้องในสิทธิและตึกแถวพิพาทแต่อย่างใด จากนั้นจำเลยที่ ๑ นำบันทึกดังกล่าวไปติดต่ออำเภอภาษีเจริญขอโอนตึกแถวพิพาทให้เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๙ โจทก์พิมพ์ลายนิ้วมือในเอกสารหมาย ล.๑ โดยสมัครใจ และเป็นการสละเจตนาครอบครองตึกแถวพิพาทตั้งแต่วันทำเอกสารหมาย ล.๑ จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๙ โดยจำเลยที่ ๑ ในฐานะผู้แทนโดยชอบธรรมได้ครอบครองตึกแถวพิพาทติดต่อกันมาโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของด้วยการทำสัญญาและเก็บค่าเช่า นับแต่วันทำเอกสารหมาย ล.๑ ถึงวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๒๒ ซึ่งเป็นวันฟ้อง เป็นเวลากว่าสิบปี จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๙ จึงได้กรรมสิทธิ์ และเมื่อพิจารณาถึงว่ากรรมสิทธิ์ในตึกแถวพิพาทตกเป็นของจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๙ แล้ว ก็ไม่สมควรที่จะเพิกถอนหนังสือสัญญา ฉบับที่ ๑๔/๑๔ ดังกล่าว ไม่จำต้องวินิจฉัยประเด็นข้ออื่นต่อไป
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์