แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยแม้เป็นข้อกฎหมาย แต่ก็ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการ วินิจฉัย จึงไม่รับฎีกา คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมด จำเลยเห็นว่า ฎีกาที่ว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะที่ดินซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์รวม ยังไม่ได้จดทะเบียนแบ่งแยกการครอบครองเป็นสัดส่วนและจำเลยเป็นทายาทคนหนึ่งของนายเชื้อ จำเลยจึงไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์บ้านทั้งหมดนั้นเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ โจทก์แถลงคัดค้าน (อันดับ 73) ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 3625 ตำบลบางแก้ว อำเภอบางพลีจังหวัดนครเขื่อนขันธ์ (สมุทรปราการ) โดยให้จำเลยรื้อถอนบ้านเลขที่ 75 หมู่ที่ 3 ออกจากที่ดินพิพาทแล้วส่งมอบ ที่ดินพิพาทคืนแก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อย ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายปีละ 300 บาท แก่โจทก์ นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกจากที่ดินพิพาท ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 68) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 71)
คำสั่ง ฎีกาของจำเลยพออนุโลมได้ว่า จำเลยโต้แย้งคำพิพากษา ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ในปัญหาข้อกฎหมายว่า โจทก์ซึ่งเป็น เจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินร่วมกับบุคคลอื่น ยังมิได้แบ่ง การครอบครองเป็นส่วนสัดนั้น ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1358 และ 1359 ดังนั้นหากศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องตาม บทกฎหมายดังกล่าว ก็จะต้องพิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ข้อฎีกาของจำเลยจึงเป็นสาระแก่คดี ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยโดยอ้างว่าเป็นข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระ แก่คดีจึงไม่ชอบ ให้รับฎีกาของจำเลยไว้ดำเนินการต่อไป