คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 340/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

มูลหนี้ตามที่โจทก์นำมาฟ้องเพื่อขอให้จำเลยตกเป็นบุคคลล้มละลายนั้นเป็นกรณีซื้อขายหลักทรัพย์ซึ่งพี่ชายจำเลยได้อาศัยใช้ชื่อจำเลยเล่นหุ้น การที่จำเลยเข้ามาเกี่ยวข้องกับโจทก์ก็โดยในฐานะเป็นตัวแทนให้กับพี่ชาย บรรดาหนี้สินที่โจทก์อ้างมาเป็นเหตุเพื่อขอให้จำเลยตกเป็นบุคคลล้มละลายจึงหาเป็นหนี้สินค้างชำระของจำเลยโดยตรงไม่ ดังนั้นการที่จะอ้างว่าคำให้การของจำเลยไม่มีประเด็นนำสืบก็ดีหรือการนำสืบความจริงดังกล่าวฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 ที่ห้ามนำพยานบุคคลมาสืบเพื่อให้มีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงแก้ไขเอกสารก็ดี อันเป็นการตัดรอนมิให้ศาลรับฟังพยานหลักฐานดังกล่าว ย่อมขัดต่อบทบัญญัติของพระราชบัญญัติล้มละลาย ฯ อันเป็นกฎหมายพิเศษที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ซึ่งกำหนดให้เป็นหน้าที่ของศาลที่จะต้องพิจารณาเอาความจริงให้ได้ว่าจำเลยเป็นบุคคลที่มีหนี้สินล้นพ้นตัวจริงหรือไม่ จำเลยชอบที่จะเสนอพยานหลักฐานดังกล่าวได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นลูกค้าของโจทก์ มอบให้โจทก์ทำการแทนในการซื้อและขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จำเลยได้สั่งซื้อขายหลักทรัพย์หลายครั้ง และมีการหักทอนบัญชีกันตลอดมา จากการหักทอนบัญชีครั้งสุดท้ายจำเลยมีหนี้ค้างชำระค่าหุ้นที่สั่งซื้อพร้อมดอกเบี้ย ๓๕๙,๓๐๖.๐๕ บาท และจำเลยได้กู้เงินไปจากโจทก์จำนวน ๙๕,๘๗๓.๒๘ บาท โดยรับเงินไปเรียบร้อยแล้วตั้งแต่วันทำสัญญา ตกลงยอมชำระเป็นงวด จำเลยผ่อนชำระเพียง ๔ งวด คงค้างอยู่รวมเป็นเงินต้นและดอกเบี้ย ๑๒๕,๒๔๕.๕๕ บาท โจทก์มอบหมายให้ทนายความมีหนังสือทวงถาม ๒ ครั้งในระยะเวลาห่างกันไม่น้อยกว่า ๓๐ วัน แต่ก็ไม่ได้รับชำระ ขอให้ศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาด และพิพากษาให้ล้มละลายต่อไป
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยมีนิติสัมพันธ์ใด ๆ กับโจทก์ไม่เคยสั่งซื้อหรือขายหุ้นของบริษัทใด ๆ เลย ไม่เคยรับเงินตามสัญญากู้ดังที่โจทก์ฟ้อง และไม่ได้เป็นหนี้ตามฟ้องโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้พิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาด
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าพิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาว่ามูลหนี้ตามที่โจทก์นำมาฟ้องเพื่อขอให้จำเลยตกเป็นบุคคลล้มละลายนั้น ความจริงจำเลยเป็นคู่สัญญากับโจทก์โดยตรงหรือว่าอยู่ในฐานะเป็นเพียงตัวแทนนายวราพี่ชายดังที่จำเลยให้การต่อสู้ สำหรับข้อเท็จจริงที่โต้เถียงกันดังกล่าว ศาลฎีกาเห็นว่าคำเบิกความของนายนิสาชล วงศ์หล่อ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของโจทก์เองโดยมีตำแหน่งเป็นหัวหน้าส่วนซื้อขายหลักทรัพย์ที่ยืนยันว่า นายวรา วรพันธ์ เป็นลูกค้าของโจทก์ที่เข้ามาทำการซื้อขายหลักทรัพย์อันเป็นกรณีพิพาทกันในคดีนี้ โดยในชั้นเดิมนายวราได้อาศัยใช้ชื่อของพยานเป็นตัวแทนนั้นเป็นคำเบิกความที่มีน้ำหนักน่าเชื่อถือ และการที่นายวราต้องมาอาศัยใช้ชื่อพยานดังกล่าวก็ด้วยเหตุผลที่ว่า เพราะนายวราทำงานอยู่ในบริษัทสยามเงินทุนในตำแหน่งหัวหน้าแผนกหาเงินฝาก หากนายวราจะแสดงตัวออกเล่นหุ้นโดยเปิดเผยเกรงว่าจะถูกเพ่งเล็ง ประกอบกับบริษัทโจทก์ยินยอมให้ลูกค้าทั่วไปใช้ชื่อพนักงานของบริษัทซื้อขายหลักทรัพย์แทนได้ นายวราจึงอาศัยชื่อพยานดำเนินการเกี่ยวกับการเล่นหุ้นดังกล่าว ข้อเท็จจริงที่ได้ความจากคำนางนิสาชลซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของโจทก์เองเช่นนี้ จึงน่าเชื่อได้ว่าการที่จำเลยเข้ามาเกี่ยวข้องกับโจทก์ก็โดยในฐานะเป็นตัวแทนให้กับนายวราต่อจากนางนิสาชลนั่นเอง บรรดาหนี้สินใด ๆ ที่โจทก์อ้างมาเป็นเหตุเพื่อขอให้จำเลยตกเป็นบุคคลล้มละลายดังกล่าว ความจริงจึงหาใช่เป็นหนี้สินค้างชำระของจำเลยโดยตรงไม่ ซึ่งความจริงข้อนี้โจทก์ตระหนักดีอยู่แล้ว ดังนั้น การที่จะอ้างว่าคำให้การของจำเลยไม่มีประเด็นนำสืบก็ดีหรือการนำสืบความจริงดังกล่าวฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๙๔ ที่ห้ามนำพยานบุคคลมาสืบเพื่อให้มีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงแก้ไขเอกสารก็ดี อันเป็นการตัดรอนมิให้ศาลรับฟังพยานหลักฐานดังกล่าวจึงขัดต่อบทบัญญัติของพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช ๒๔๘๓ อันเป็นกฎหมายพิเศษที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ซึ่งกำหนดให้เป็นหน้าที่ของศาลที่จะต้องพิจารณาเอาความจริงให้ได้ว่าจำเลยเป็นบุคคลที่มีหนี้สินล้นพ้นตัวจริงหรือไม่ ดังนั้นจำเลยจึงชอบที่จะเสนอพยานหลักฐานให้ปรากฏว่าความจริงนิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยนั้น เป็นเรื่องจำเลยในฐานะตัวแทนกระทำการแทนนายวราซึ่งเป็นตัวการ ซึ่งโจทก์ก็ทราบดีอยู่แล้ว ทั้งนี้ เพื่อให้ตนเองพ้นจากความรับผิด ไม่ต้องตกเป็นบุคคลล้มละลาย การที่ศาลอุทธรณ์อ้างบทบัญญัติของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาปิดปากมิให้จำเลยนำสืบความจริงเพื่อโต้เถียงเป็นอย่างอื่นนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลแทนจำเลยโดยกำหนดค่าทนายความให้รวม ๑๐,๐๐๐ บาท

Share